ผู้เขียน หัวข้อ: ยางพารากับกับการลงทุนหุ้น  (อ่าน 585 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82604
    • ดูรายละเอียด
ยางพารากับกับการลงทุนหุ้น
« เมื่อ: มกราคม 14, 2016, 09:44:09 AM »
ยางพารากับกับการลงทุนหุ้น


ตอนนี้ประเด็นเรื่องราคายางพาราที่ตกต่ำกำลังเป็นวาระแห่งชาติเลยทีเดียว แต่ จริงแล้วเรื่องของราคายางถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมืองมานานแล้ว โดยมักจะยกมาข่มกันว่ารัฐบาลชุดนั้นชุดนั้นชุดนี้ทำให้ราคายางสูง รายได้เกษตรกรดี แต่ไม่ค่อยเห็นคนออกมาวิเคราะห์กันว่าทำไมราคายางถึงตกต่ำจากเศรษฐกิจโลกกัน เลย

 ช่วง ที่ราคายางพาราขึ้นไปแตะ ระดับ 120 บาทต่อกิโลกรัม ช่วงนั้นถือเป็นช่วงขาขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์พอดี ขณะที่ตอนนี้ราคาน้ำมันกำลังลงมาแตะตัวเลข 30 เหรียญต่อบาร์เรลและเป็นช่วงขาลงของสินค้าโภคภัณฑ์ ต่อให้ภาครัฐออกนโยบายมาอุดหนุนราคาอย่างมากก็ดึงราคาขึ้นมาได้เล็กน้อยเท่า นั้น คงไม่สามารถดันให้ราคากลับเป็นขาขึ้นได้

ถ้าวิเคราะห์กันดีๆแล้ว ผมมองว่ายากที่ราคายางจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้ในไม่กี่ปีข้างหน้า เริ่มจากฝั่งดีมานด์ก่อน แน่นอนว่าเศรษฐกิจจีนทรุดหนักแบบนี้ยากที่จะมีความต้องการนำเข้ายางพาราจาก ไทยและมาเลเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก แถมเศรษฐกิจไทยก็ยังไม่ดี โอกาสที่จะมีความต้องการยางพาราจึงมีไม่มาก แม้จะมีความพยายามที่จะนำยางพารามาผสมกับยางมะตอยในการสร้างถนน แต่ผมมองว่าจะเป็นการเพิ่มดีมานด์ได้ในช่วงระยะเวลหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถทำให้ราคากลับมาสูงขึ้นได้มากนัก

 ปัจจัย สำคัญอยู่ที่ฝั่ง ซัพพลาย เพราะช่วงที่ราคายางพาราปรับตัวขึ้นสูง ต่างแห่กันหันมาปลูกสวนยางกันจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่เวียดนามก็หันมาพัฒนาสวนยางกับเขาด้วย ทำให้ตอนนี้แหล่งผลิตยางมีมากเกินกว่าความต้องการ ส่วนผู้ที่ปลูกยางมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตายายก็คงไม่สามารถขายสวนยางไปทำ อย่างอื่นได้ก็ต้องปลูกยางกันต่อไปแม้ว่าราคาจะไม่ดี

ถ้า ราคายางยังตกต่ำแบบนี้  โอกาสที่กำลังซื้อของประชาชนจะกลับมาก็คงยาก เพราะประชากรชาวสวนยางถือเป็นประชากรส่วนใหญ่ของภาคใต้ แน่นอนว่านอกเหนือจากหุ้นกลุ่มยางพาราทั้ง TRUBB และ STA คงจะเป็นขาลงไปอีกพอสมควร ตลาดหุ้นในภาพรวมโดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคในประเทศก็จะได้ผลกระทบ ไปด้วย
จะ ว่าไปแล้ว  การปลูกสวนยางพารา สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการลงทุนหุ้นได้เช่นกัน โดยมองเป็นการลงทุนแนววีไอ ลองนึภาพตามนะครับ การที่เราปลูกสวนยางพาราอาจต้องใช้เวลาหลายปีในการปลูก จากนั้นเมื่อต้นยางเติบโตได้ที่ก็จะผลิตน้ำยางออกมาประมาณ 15 ปี ให้เกษตรกรได้เก็บเกี่ยว ถ้าเป็นกิจการก็คือการรับเงินปันผลอย่างต่อเนื่องนั่นเองครับจะได้มากหรือ น้อยก็ขึ้นอยู่กับราคายางในปีนั้นว่าดีหรือไม่ แต่ก็ถือว่ามีรายได้ต่อเนื่องทุกปี
เมื่อต้นยางเริ่มหมดอายุ เราสามารถตัดต้นยางนำส่วนของไม้ไปขายต่อ เช่นนำไปทำเฟอร์นินเจอร์ก็ได้ เหมือนกับการที่นักลงทุนได้รับเงินปันผลอย่างต่อเนื่องจนพอใจก็ทำการขายหุ้น ออกไปได้รับกำไรจาก Capital Gain หามองภาพระยะยาวก็ถือว่าคุ้มค่า ผมจึงอยากเปรียบเทียบชาวสวนยางพาราว่ามีแนวคิดคล้ายๆกับนักลงทุนแนววีไอ ส่วนนักเก็งกำไรอาจจะอึดอัดเพราะยากที่จะทำกำไรแค่ระยะสั้นๆ
เร็วๆ นี้ตลาดอนุพันธ์จะมีการ ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ให้เราสามารถเทรดยางแผ่นรมควันชั้นสาม (RSS3) ในตลาด TFEX ได้ แต่เมื่อราคายางยังตกต่ำแบบนี้และไม่มีเทรนด์ชัดเจน การเทรดอาจจะไม่สนุกมาก แต่อย่างน้อยก้ทำให้เทรดเดอร์ชาวไทยได้รู้จักกับการเทรดสินค้าเกษตรล่วงหน้า กันมากขึ้น เมื่อทิศทางราคากลับมามีเทรนด์คงน่าสนใจขึ้นครับ นเรศ เหล่าพรรณราย
ติดตามรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supertrader.co.th
 SuperTrader รายการเรียลิตีการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ เข้มข้นด้วยความรู้จากโค้ชผู้มากประสบการณ์ ผ่านบททดสอบจากตลาดหุ้นจริง

ที่มา หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์ (วันที่ 14 มกราคม 2559)