ผู้เขียน หัวข้อ: "อำนวย" แม่ทัพรับศึกม็อบยาง พิสูจน์ฝีมือแก้โจทย์พ่นพิษรัฐบาล "ประยุทธ์"  (อ่าน 932 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82604
    • ดูรายละเอียด

"อำนวย" แม่ทัพรับศึกม็อบยาง พิสูจน์ฝีมือแก้โจทย์พ่นพิษรัฐบาล "ประยุทธ์"


[size=78%]21 ต.ค. 2557 เวลา 12:25:52 น.[/size]
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


มีสินค้าเกษตรอยู่เพียงไม่กี่ตัวที่สามารถสร้างแรง "สั่นสะเทือน" ไปถึงรัฐบาล ไม่ว่า "รัฐบาลจากการเลือกตั้ง-รัฐบาลจากการรัฐประหาร" 1 ในนั้นคือยางพารา


ยังจำกันได้พิษ "ราคายางพาราตกต่ำ" สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยถูกพ่นจนซวนเซจวนล้มทั้งยืน ด้วยยุทธวิธี "ชะอวดโมเดล" มาแล้ว มาครั้งนี้ภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังคิดไม่ตก-สาละวนอยู่กับการแก้ปัญหา


นอกจากมาตรการแก้ไขปัญหา ระยะสั้นที่คลอดออกมาจากคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา และมาตรการระยะยาวอีก 1 มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาราคายาง โดยกำหนดวงเงินในการช่วยเหลือครั้งนี้มีเม็ดเงินกว่า 5.85 หมื่นล้านบาท


โดย ในระยะสั้นได้อนุมัติเงินอุดหนุนสำหรับเกษตรผู้ปลูกยางพารารายย่อยที่มี พื้นที่เพาะปลูกไม่เกิน 25 ไร่ จำนวน 1,000 บาทต่อไร่ ไม่เกินรายละ 15,000 บาท วงเงินทั้งสิ้น 8,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถช่วยเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราได้ 850,000 ราย โดยการจ่ายเงินให้เกษตรกรนั้นจะทำได้หลังมีการจดทะเบียนและตรวจสอบรายชื่อ ซึ่งคาดว่าจะสามารถจ่ายเงินได้จริงภายในเดือนพฤศจิกายน


ส่วนมาตรการ อื่น ๆ ในการดึงราคายางพาราให้ปรับตัวสูงขึ้นนั้นมีทั้งสิ้น 3 มาตรการ คือให้องค์การสวนยาง (อสย.) ซื้อยางดิบจากเกษตรกร โดยใช้งบฯเดิมที่รัฐบาลก่อนหน้านี้อนุมัติไว้แล้ว จำนวน 20,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีมติปล่อยสินเชื่อวงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ร้อยละ 3 วงเงิน 10,000 ล้านบาท จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำหรับให้สหกรณ์สวนยางรับซื้อยางจากเกษตรกรมาขายให้ อสย. พร้อมกันนี้ได้ขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์ 6 แห่ง ในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการน้ำยางข้น 10,000 ล้านบาท เพื่อรับซื้อน้ำยางจากเกษตรกร


ส่วนมาตรการระยะยาวจะมีการออกสิน เชื่อดอกเบี้ยต่ำร้อยละ 3 ระยะเวลา 5 ปี วงเงินไม่เกิน 1 แสน บาทต่อครัวเรือน เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราได้ทำอาชีพเสริมควบคู่ไปกับรอเวลากรีดยาง รวมถึงเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นแทนเพื่อลดปริมาณการผลิตยาง โดยจะใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1 หมื่นล้านบาท






โดย ตั้งเป้าผลักดันราคายางพาราให้อยู่ในระดับ 60 บาทต่อกิโลกรัมภายใน 1-2 เดือน ส่วนการซื้อยางจะเริ่มดำเนินการได้หลังผ่านมติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวัน ที่ 19 ตุลาคมนี้


"รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์" ยังเสริมทัพด้วย "กูรู" พืชเศรษฐกิจ-การเมือง


ชื่อ "อำนวย ปะติเส" ที่ปรึกษา นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์-ม.ร.ว.ปรีดิ ยาธร เทวกุล "รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ" อยู่ในโผ ให้มา "รับศึก" ม็อบเกษตรกร-แก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำอย่างเป็นจริงเป็นจัง ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ "กระทรวงพญานาค"


พลิกปูมหลังอดีต ส.ส.มหาสารคาม 2 สมัย ค่ายพรรคประชาธิปัตย์ คลุกคลี-รับหน้าอยู่กับ "ม็อบเกษตรกร" มาหลายรัฐบาล-หลายขั้วข้าง ไม่ว่าในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย-"นายหัว" ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 2537 ก่อนวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ฐานะ "ผู้ใกล้ชิด" ในตำแหน่ง "รัฐมนตรีช่วยฯคลัง" นอกจากนี้ยังเคยสวมหมวกประธานที่ปรึกษาของนายธีระชัย แสนแก้ว อดีตเสนาบดีกระทรวงเกษตรฯ ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และเป็น "กุญซือ" นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร "รัฐมนตรีช่วยฯเกษตรฯ" ในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์


เคยนั่งเก้าอี้บอร์ดรัฐวิสาหกิจและองค์การเกี่ยวกับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม มากมาย อาทิ กรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กรรมการองค์การสวนยาง กรรมการอิสระการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านอ้อย น้ำตาลทราย และยางพารา ปัจจุบันเป็นกรรมการยุทธศาสตร์ สภาเกษตรกรแห่งชาติ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.)แคนดิเดตเสนาบดี "ครม.ประยุทธ์ 2" เปิดใจภาระบนบ่าหลังจากเข้ามาเป็นทั้ง "กุญซือ" แก้ปัญหาสินค้าเกษตรในรัฐบาลยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่า ปัญหายางพาราตกต่ำซับซ้อนมาก เพราะ 8 เดือนที่ผ่านมาก่อน คสช.เข้าควบคุมอำนาจ ปัญหาได้ถูกทับถมไว้หลายชั้น


ถึงแม้ว่าจะถูกปรามาสว่าเป็นกุญซือแก้ปัญหามาหลายรัฐบาล แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำได้นั้นเขาโต้คำครหานี้ว่า "จะบอกว่าทำไม่ได้ไม่ได้หรอก เพราะผมก็อยู่เบื้องหลังรัฐบาลทั้งในช่วงที่ราคายางพาราสูงสุดที่ 180 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วงปลายสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตำแหน่งที่ปรึกษา นายศุภชัย โพธิ์สุ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งขณะนั้นก็นั่งเป็นรักษาการผู้อำนวยการองค์การสวนยาง ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นขณะที่ผมเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยฯเกษตรฯ ตั้งแต่ช่วงรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นต้นมา ราคาจะตกต่ำลงเรื่อย ๆ ก็ตาม เนื่องจากประสบปัญหาเศรษฐกิจโลก ดังนั้นผมจึงอยู่เบื้องหลังทั้งตอนที่ราคายางต่ำสุดและสูงสุดถึงจะถูก"


เขาอธิบายโจทย์ใหญ่ที่รอ "พิสูจน์ฝีมือ-ล้างมลทิน" ในตัวเขาว่า ต้องรื้อ-ล้างปัญหาที่ทับถม-ซับซ้อนก่อนหน้านี้และช่วงรอยต่อระหว่างรัฐบาล ที่ผ่านมา โดยการมุ่งไปที่การ "เซตระบบใหม่" เพื่อแก้ปัญหาระยะยาว ตั้งแต่การแก้ปัญหาทั้งในประเทศ เช่น เรื่องการส่งออก การปรับปรุงกฎหมายและต่างประเทศ โดยการจับมือกับประเทศค้ายางในกลุ่มอาเซียน เช่น อินโดนีเซียและมาเลเซียเพื่อร่วมกันดึงราคายางตกต่ำขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน


"โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายและผลักดันร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ...ซึ่งเมื่อรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาเรียบร้อยแล้ว และเตรียมที่จะให้สภาผ่านร่างกฎหมายเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนบังคับใช้ แต่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภาเสียก่อน จึงทำให้ร่างฯตกไป ซึ่งขณะนี้กำลังจะนำร่าง พ.ร.บ.การยางเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อีกครั้ง"


ร่างกฎหมายดังกล่าวจะเป็น "เครื่องมือ" ทำให้การจัดการแก้ไขปัญหายางพาราในส่วนของการบริหารจัดการภาครัฐให้เป็น เอกภาพ จากเดิมมี 3 หน่วยงานในการแก้ปัญหา ได้แก่ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) และสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ให้รวมเป็นหน่วยงานเดียวเฉพาะในการแก้ปัญหา


เขาชี้ให้เห็น "จุดเด่น" ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ คือวิธีการบริหารจัดการที่เป็นเอกภาพ เพราะมี "วอร์รูม" แก้ปัญหาเพียง "ทีมเดียว" ในการประสานไปยังกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้อย่างรวดเร็ว ทั้งต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ทำให้ "อุดช่องโหว่" ในช่วงที่เกิดสุญญากาศ-รอร่าง พ.ร.บ.การยางคลอดในรัฐบาลเฉพาะกาลนี้


เมื่อคร่ำหวอดอยู่กับการแก้ปัญหาราคายางพารามา "11 รัฐบาล 11 นายกฯ" ทั้งในบรรยากาศการเมืองฉบับประชาธิปไตยเต็มใบ-ครึ่งใบ ผ่านช่วงราคายางพาราต่ำสุดขีด-สูงลิบลิ่วเป็นประวัติการณ์ในสมัยรัฐบาลนาย อภิสิทธิ์แตะ 190 บาทต่อกิโลกรัม จึงต้องให้เปรียบเทียบความ ยาก-ง่ายในการแก้ปัญหาระหว่างรัฐบาลที่มาจากนักการเมืองกับรัฐบาลที่มาจาก ทหาร เขาตอบทันทีแบบไม่ลังเลว่า ง่ายกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเยอะ โดยเฉพาะการเมืองหลายพรรคในช่วง "รัฐบาลผสม"


นับจากนี้จะเป็นบทพิสูจน์ฝีมือคนที่ชื่อ "อำนวย ปะติเส" อีกครั้ง ไม่ว่าจะปรากฏอยู่เบื้องหน้า-เบื้องหลังก็ตาม