แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - Rakayang.Com

หน้า: 1 ... 4066 4067 [4068] 4069 4070 ... 5508
61006
โค่นยาง..ปลูกพืชอื่นทดแทน ระวัง..หนีเสือปะจระเข้


โดย ชาติชาย ศิริพัฒน์แม้ไทยจะไม่ได้ปลูกยางมากเป็นอันดับ 1 เท่าอินโดนีเซีย แต่ผลผลิตน้ำยางที่ออกมาจากสวนบ้านเรามีมากเป็นอันดับ 1 ของโลก เพราะผลผลิตน้ำยางของไทยเฉลี่ยอยู่ที่ 262 กก.ต่อไร่ต่อปี ในขณะที่อินโดนีเซียทำได้แค่ 143 กก.เท่านั้นเราจึงกลายเป็นผู้ผลิตยางพาราเบอร์ 1 ของ โลก แต่ผลผลิตของเราต้องพึ่งพาตลาดโลกเป็นหลัก เพราะส่งออกไปต่างประเทศประมาณ 90% มี 10% เท่านั้นที่ถูกนำมาใช้ในประเทศ เมื่อเศรษฐกิจโลกซบความต้องการใช้ยางน้อยลง ยางล้นตลาดราคาร่วง รัฐบาลจึงมีนโยบาย
คิดง่ายๆ...ลดยางล้น ลดพื้นที่ปลูกยางให้เกษตรกรล้มสวนยางเก่า ปลูกพืชอื่นทดแทนเป็นนโยบายที่คิดดีมองรอบด้านแล้วหรือ...ไม่ใช่นโยบายชักเข้าชักออก เดี๋ยวส่งเสริมให้ปลูกเดี๋ยวส่งเสริมให้เลิก เหมือนหลายโครงการที่ผ่านมา?ยางไม่ได้มีปัญหา นโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่างหากที่เป็นปัญหา เราปลูกยางมาเป็น 100 ปี แต่ภาครัฐแทบไม่เคยส่งเสริมแปรรูปยางเป็นผลิตภัณฑ์จริงจังเลย ที่คิดจะโค่นสวนยางไม่รู้รึว่า ยางพาราคือพืชที่สร้างอนาคตให้กับประเทศไทยได้ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ช่วยสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรเท่านั้น ยังเป็นพืชแก้ปัญหาหลายอย่างให้กับประเทศได้ โดยพืชตัวอื่นทำไม่ได้?ดร.อนันต์ ดาโลดม นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย บอกว่า แม้ยางจะใช้เวลาปลูกถึง 7 ปีกว่าจะกรีดได้ แต่หลังจากนั้นเกษตรกรจะมีรายได้ทุกวัน มีพืชตัวไหนทำได้อย่างนี้บ้าง ปาล์มน้ำมันต้องรอ 4 เดือนถึงจะได้เงิน อ้อยปีละครั้งยางกรีดได้แล้วเกษตรกรมีงานให้ทำทุกวัน ไม่สามารถทิ้งสวนไปทำอย่างอื่นได้ ไม่เหมือนข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน มีเวลาว่างพักหลายเดือน เกิดปัญหาแรงงานอพยพเข้าเมือง...แต่ยางไม่มียางเป็นไม้ยืนต้น ปลูกแล้วเท่ากับเพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มป่า เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับดิน...ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ทำได้ไหม...ถึงสวนผลไม้จะทำได้ แต่ให้รายได้แค่ปีละครั้ง ไม่เหมือนยางได้ทุกวัน


เป็นพืชทนแล้งดูแลรักษาง่าย โรคน้อย ยาสารเคมีไม่ต้องใช้ มีค่าใช้จ่ายแค่ปุ๋ยเท่านั้นเอง...เหมาะกับภาคอีสานมาก เกษตรกร 2 ผัวเมียมีสวนยางแค่ 10?15 ไร่ กรีดเองทำเองอยู่ได้สบายที่จะให้โค่นยางหันไปปลูกปาล์มน้ำมัน ดร.อนันต์ มองว่า แน่ใจได้แค่ไหนจะไม่เป็นกรณี ?หนีเสือปะจระเข้? ทุกวันนี้ปาล์มน้ำมันมีปัญหาผลิตได้มากกว่าใช้ในประเทศ แถมรัฐบาลยังมีนโยบายอั้นราคาน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ไม่ให้เกินลิตรละ 42 บาท...ผลปาล์มราคาดี เกษตรกรทำท่าจะยิ้มได้ กระทรวงพาณิชย์สั่งน้ำมันปาล์มดิบเข้ามาทุบราคาผลปาล์มสดทุกทีไปมิใช่หรือส่วนที่อ้างมีตลาดรองรับ เพราะจะเอาไปทำไบโอดีเซล B7...นโยบายทำ B7-B10 ไปยัน B100 มีมานานเท่าไรแล้ว ที่ผ่านมามีแต่ชักเข้าชักออก ไม่เอาไม่ทำจริงสักทีเพราะในทางปฏิบัตินักการเมืองดูจะเป็นห่วง ปตท.จะขายน้ำมันได้น้อย กลัวหุ้น ปตท.จะตก... มากกว่าจะช่วยเกษตรกรมิใช่หรือ.



61007

ค้านนโยบายโค่นยางปลูกปาล์ม 'ประพัฒน์'อ้างเป็นการย้ายปัญหา


หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2558 18:19:00 น.
 
30 เม.ย.58 นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวแสดงความไม่เป็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาล ที่จะให้มีการโค่นยางพารากว่า 2 ล้านไร่ และปลูกปาล์มทดแทน ว่า ส่วนตนไม่เห็นด้วยกับมาตราการดังกล่าวเนื่องจาก ขณะนี้ ราคาปาล์มน้ำมัน มีราคาตกต่ำอย่างต่อเนื่อง หากไปส่งเสริมให้ปลูกเพิ่มขึ้น จะเป็นการย้ายปัญหาจากยางพาราไปเป็นปัญหา ราคาปาล์มน้ำมันแทน โดยขณะนี้เท่าที่มีการประเมินพบว่า ปาล์มน้ำมันไทยไม่สามารถแข่งขันการส่งออกกับประเทศคู่แข่งได้



ทั้งนี้ ในส่วนตนไม่ได้มีการคัดค้านการลดพื้นที่การปลูกยาง แต่ควรค่อยปรับลดไปตามความเหมาะสม โดยควรจะปลูกพืชอื่นทดแทนตามความเหมาะสม ไม่ใช่ปาล์มอย่างเดียว ซึ่งเบื้องต้นรัฐบบาลควรวางนโยบายการสร้างอาชีพเสริม เพื่อให้สามารถสร้างอาชีพเสริมในสวนยาง โดยอาจจะเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ เป็นอาชีพเสริม ขณะเดียวก็ควรปลูกพืชเสริมในแปลงยาง เพื่อสร้างรายได้ และค่อยๆ ปรับตามความเหมาะสม และเชื่อว่าหากดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว จะทำให้เกิดความยั่งยืนด้านอาชีพ มากกว่าจะปรับทีเดียวแล้วเป็นปัญหาระยะยาว
 
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคาปาล์มน้ำมัน ถือว่าค่อนข้างตกต่ำอย่างต่อเนื่อง โดยราคารับซื้อขณะนี้อยู่ที่ 2.80 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่ราคาที่มีความหาะสมที่น่าจะอยู่ที่ราคา 4.47 บาท ในส่วนผลปาล์มดิบ โดยส่วนหนึ่งส่วนตนเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการวางนโยบายที่ผิดพลาดการให้มีการ นำเข้าน้ำมันปาล์จากต่างประเทศ ในช่วงเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา กว่า 5 หมื่นตัน และส่งผลให้ราคา น้ำมันปาล์มตกต่ำ ซึ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่า การนำเข้าน้ำมันปาล์มากต่างประเทศที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันปาล์มในประเทศแล้ว ซึ่งจากนี้ไปรัฐบาลควรจะพิจรรณาอย่างละเอียด ไม่ใช่เชื่อเอกชนอย่างเดียวแต่ไม่สนใจเกษตรกร จนทำให้เกิดปัญหาบานปลาย



61008
ผลิตเครื่องสำอางจากน้ำยางพารา

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่าหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาลคือ การผลักดัน งานวิจัยและพัฒนาไปสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้นำผลงานวิจัยมาใช้ประโยชน์ อันเกิดจากเพิ่มมูลค่าสมุนไพรไทย ด้วยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เน้นการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายของพันธุ์ไม้ต่าง ๆ และมุ่งเน้นการนำ วทน. มารวมกับภูมิปัญญา ไทย เพื่อยกระดับมาตรฐานเทียบเท่าสากล

มีหลายหน่วยงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์ อาทิ ศูนย์นาโนเทคโนโลยี (นาโนเทค) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วว.) และศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) พัฒนางานวิจัยใช้ประโยชน์ในกลุ่มสมุนไพรทั้งผลิตเครื่องสำอาง เวชสำอาง อาหารเสริมและยา ดำเนินการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง



นอกจากนี้ยังรวมถึงการก่อสร้างโรง งานผลิตเครื่องสำอางต้นแบบ โรงงานผลิตสารสกัดสมุนไพร ตามมาตรฐาน GMP เพื่อยกระดับมาตรฐานภาคธุรกิจเพื่อการส่งออก สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก โดยเฉพาะมูลค่าส่งออกเครื่องสำอางไทยคาดว่าจะสูงถึงกว่า 21,200 ล้านบาท คาดว่าจะลดการนำเข้าวัตถุดิบสารสกัดได้ถึง 2,000 ล้านบาท อีกทั้งยังสามารถสร้างงานและรายได้ ให้คนไทยในอนาคต



หนึ่งในโครงการเพิ่มมูลค่าพืชเศรษฐ กิจที่เข้ากับกระแสมากที่สุดคือ โครงการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเซรั่มน้ำยางพาราเพื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่องสำอางมูลค่าสูงสู่เชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นผลงานของTCELS ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาโรงงานต้นแบบในการผลิตสารสกัดตามมาตรฐาน GMP ตลอดจนพัฒนาสารสกัดเป็นสูตรต้นตำรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมูลค่าสูงมากมายหลายชนิด



ในปีที่ผ่านมามีภาคเอกชน รายย่อยและ SMEs สนใจนำสารสกัดไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดแล้วแต่ด้วยกำลังผลิตของโรงงานต้นแบบที่มีอยู่ไม่สามารถรองรับการผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ TCELS จึงวางแผนจัดทำแผนการขยายผลการผลิตสารสกัดยางพารามูลค่าสูงสู่เชิงพาณิชย์ ลงสู่ท้องถิ่น 4 ภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้



ซึ่งจะต้องได้รับความร่วมมือจากสหกรณ์สวนยางเข้าร่วมโครงการไม่น้อยกว่า 4 แห่ง ขณะนี้ TCELS ได้รับสิทธิบัตรแล้วใน 4 ประเทศคือ ไทย สิงคโปร์ จีน และอินโดนีเซีย
ซึ่งนอกจากผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากสารสกัดยางพาราแล้ว ยังมีอาหารเสริมทางการแพทย์ และเป็นสารตั้งต้นสำหรับเป็นยารักษาโรคมะเร็งได้อีกด้วย
และในระยะต่อไปทางโครงการฯ จะรับซื้อน้ำยางสดจากชาวสวนในมูลค่าสูงกว่าราคายางในท้องตลาด 10% สำหรับสัดส่วนการใช้น้ำยางสด 200 ลิตร ผลิตสารสกัดได้  1 กิโลกรัม เพื่อให้สามารถรองรับการผลิตส่งให้บริษัท SME 2 บริษัท/ปี ต้องการสารสกัด 140 กิโลกรัม/ปี โดยน้ำยางสด 700 ลิตร/ไร่/ปี จึงต้องใช้น้ำยางสด 28,000 ลิตร/ปี หรือเนื้อที่ต้นยางประมาณ 40 ไร่

ด้วยปัจจัยความต้องการในท้องตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง สามารถกระตุ้นให้เกิดบริษัทภายในประเทศได้ไม่ต่ำกว่า 10 บริษัท เพื่อให้เกิดการจำหน่าย ซื้อและขายให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศ คาดว่าจะต้อง การสวนยางเข้าร่วมโครงการอย่างน้อย 200 ไร่ขึ้นไป



ทั้งนี้ยังไม่รวมการผลิตเพื่อจำหน่ายในระดับนานาชาติ ซึ่งจะมีความต้องการขยายฐานผลิตมาสู่ระดับอุตสาหกรรมเพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับความต้องการ จึงสามารถเกิดโรงงานผลิตสารสกัดได้ 2 ระดับ คือ 1. โรงงาน SME เพื่อรองรับการผลิตให้แก่ 2 บริษัท จำนวน 5 โรง กระจาย อยู่ใกล้สวนยาง สำหรับผลิตเครื่องสำอาง 2. โรงงานที่ได้มาตรฐาน (GMP/PICs) ซึ่งสามารถรองรับการผลิตสารสกัดเพื่อเป็นอาหารเสริมกันมะเร็ง และผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นผล พลอยได้



คาดว่าเมื่อเกิดการหมุนเวียน การผลิตและจำหน่ายแล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นให้เกิดการลงทุนให้ครบวงจร ซึ่งโครงการนี้จะดำเนินกิจกรรมเพื่อกระตุ้นตลาดยางพาราตลอดวงจรได้ดีอยู่ไม่น้อย

61009

กระทรวงวิทย์ฯ หนุนต่อยอดสารสกัดยางพาราสู่ตลาดเครื่องสำอางแก้ราคาตกต่ำ


สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2558 17:25:22 น.
 
นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า กระทรวงฯ มีนโยบายร่วมแก้วิกฤตยางพาราด้วยการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้า มาช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิต ตลอดจนสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในการแปรรูปยางพารา และขณะนี้มีงานวิจัยหลายโครงการที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที หนึ่งในนั้นคือ การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเซรั่มน้ำยางพาราเพื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพและเครื่อง สำอางมูลค่าสูงสู่เชิงพาณิชย์


โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์(TCELS) ได้สนับสนุนการวิจัยและพัฒนากับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยนเรศวร หลังจากศึกษาแล้วพบว่า เซรั่มซึ่งเป็นส่วนใสของน้ำยางพารานั้นมีสารสกัด Hb สามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีเอกลักษณ์ผ่านการพิสูจน์ว่าไม่ ก่ออาการระคายเคือง ตลอดจนได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครภายใต้ระบบมาตรฐานสากลและได้ รับการตอบรับจากการทดลองจำหน่ายในท้องตลาดเป็นอย่างดี
 

"การเปิดตัวขายสารสกัดในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่าง นวัตกรรมแปรรูปสารสกัดยางพารา มาเป็นนวัตกรรมความงามเข้าสู่ตลาดเชิงพาณิชย์ การเชื่อมรอยต่อนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้เกิดความต้องการใช้ผลผลิต จากสวนยางในเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อน และเป็นการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม โดยผลงานนี้ได้บรรจุอยู่ในบัญชีนวัตกรรมแล้ว" นายพิเชฐ กล่าว
 
ทั้งนี้ ประเทศไทยปลูกยางพาราทั่วประเทศราว 22 ล้านไร่ มากเป็นอันดับสองรองจากประเทศอินโดนีเซีย แต่มูลค่าส่งออกของไทยมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก สร้างรายได้ให้กับประเทศจำนวนมหาศาลในแต่ละปี แต่ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาราคายางพาราได้ลดลงอย่างแต่เนื่อง แม้รัฐบาลจะพยายามเข้ามาแก้ปัญหาด้วยการพยุงราคาเพื่อรักษาเสถียรภาพแล้วก็ ตาม ทั้งนี้เนื่องจากมีการนำน้ำยางพาราไปแปรรูปมีเพียงร้อยละ 12 หรือประมาณ 5 แสนตัน ขณะที่ผลผลิตน้ำยางมีมากถึง 4.2 ล้านตัน ทำให้เกิดปัญหายางล้นตลาด
 [size=78%]



ด้านนายนเรศ ดำรงชัย ผู้อำนวยการTCELS กล่าวว่า TCELS ได้ทำการศึกษาประเมินมูลค่าสารสกัดยางพาราซึ่งจากการสืบค้นไม่พบการจำหน่าย และราคาจำหน่ายสารสกัด Hb ที่สกัดจากยางพาราในระดับนานาชาติมาก่อนการประมาณราคาขายจึงได้จากต้นทุนการ ผลิต และเทียบกับราคาสารสกัดเครื่องสำอางจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติอื่นๆในท้องตลาด โดยสารสกัด Hb นี้ มีจุดเด่นที่แตกต่างคือ มีองค์ประกอบของสารที่มีคุณค่าต่อผิวพรรณมากมายนับสิบชนิด ผลที่ได้จึงไม่เพียงช่วยให้หน้าใส ฟื้นฟูสภาพผิวจากริ้วรอยฝ้า ตลอดจนลดความมันและการอักเสบของสิวเท่านั้น แต่ยังช่วยลดเรือนริ้วรอยอย่างเห็นได้ชัดด้วย สำหรับราคาที่จะจำหน่ายนั้นอยู่ที่กิโลกรัมละ 45,000บาท โดยขณะนี้มีบริษัทที่ใช้สารสกัด Hb จำนวน 1 บริษัท อยู่ระหว่างการเจรจาอีก 1 บริษัท
 
"ประเทศไทยมียอดขายเครื่องสำอางในประเทศสูงถึง 120,000 ล้านบาท และยังครองตลาดเครื่องสำอางของกลุ่มประเทศอาเซียนในลำดับต้นๆ จึงเป็นโอกาสดีที่จะเป็นทางเลือกให้บริษัทภายในประเทศนำสารสกัด Hb นี้ไปพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและปั้นแบรนด์ของตัวเองได้หลากหลาย นับเป็นการชุบชีวิตยางพาราไทย ด้วยนวัตกรรมใหม่เพื่อความงาม ภายใต้การส่งเสริมและสนับสนุนอย่างครบวงจรอีกด้วย" นายนเรศ กล่าว
 


สำหรับเกษตรกรชาวสวนยางที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกแล้ว ทางโครงการจะรับซื้อน้ำยางสดในราคาที่สูงกว่าราคาในท้องตลาด 10% เพื่อนำมาใช้ผลิตสารสกัดโดยสัดส่วนการใช้น้ำยางสด 300 ลิตร ผลิตสารสกัดได้ 1.44 กิโลกรัม และเพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของเอกชน และกลุ่ม SMEs รวมถึงตลาดต่างประเทศในอนาคต จำเป็นต้องขยายฐานการผลิตไปสู่ระดับอุตสาหกรรมเพื่อให้เพียงพอต่อการรองรับ ความต้องการ TCELS จึงมีโครงการที่จะสนับสนุนให้เกิดโรงงานผลิตสารสกัดใน 2 ระดับ คือโรงงาน SME ที่อยู่ใกล้สวนยางพารา สำหรับผลิตเครื่องสำอาง และโรงงานที่ได้มาตรฐาน GMP/PICs ทั้งนี้ ในระยะต่อไป TCELS ได้จัดเตรียมแผนศึกษาความเป็นไปได้ที่จะกระจายการผลิตลงสู่ท้องถิ่นซึ่งมี การปลูกยางพาราในภูมิภาคต่างๆทั้ง 4 ภาค เพื่อทันต่อความต้องการของตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง
 
ขณะนี้ TCELS ได้จดสิทธิบัตรแล้วใน 4 ประเทศคือ ไทย สิงคโปร์ จีน และอินโดนีเซีย และกำลังรอรับสิทธิบัตรจาก อินเดีย มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีโอกาสในท้องตลาดสูงทั้งนี้ นอกเหนือจากการผลิตสารสกัด Hb เพื่อผิวพรรณแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นผลพลอยได้ที่มีมูลค่าและความต้องการในตลาดสูงอีกมาก มายหลายชนิดสำหรับผลิตภัณฑ์ถัดไปซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบประสิทธิภาพ คาดว่าจะสามารถเปิดตัวออกสู่ตลาดได้ในเร็วๆ นี้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผมและหนังศรีษะ
อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/กษมาพร โทร.02-2535000 อีเมล์: kasamarporn@infoquest.co.th--


[/size]

61010

สกย. ไฟเขียวรับรองไม้ยางผลิตวู้ดพาเลทส่งไปญี่ปุ่นเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าชีวมวล


สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- พฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2558 09:41:59 น.
 
นายเชาว์  ทรงอาวุธ รองผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง (สกย.) ในฐานะโฆษก สกย. เปิดเผยว่า สกย. ได้มีโอกาสร่วมหารือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศจากกระทรวงพาณิชย์ และ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น  (เจโทรฯ กรุงเทพฯ) เพื่อหารือในการรับรองเรื่องของการนำเศษไม้ยางพารา ขี้เลื่อยจากไม้ยางพาราเข้าสู่กระบวนการอัดก้อน ทำเป็นถ่าน เพื่อนำส่งขายไปประเทศญี่ปุ่นในการนำไปสู่การสร้างพลังงานชีวมวล ซึ่งจากการหารือ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องพลังงานทางเลือกที่นอกเหนือจากพลังงาน นิวเคลียร์ ซึ่งขณะนี้ทางญี่ปุ่นเองมีการนำเข้าไม้อัดจากประเทศแคนาดาเป็นหลัก และในประเทศไทยเอง มีภาคเอกชนหลายแห่งที่กำลังดำเนินธุรกิจโรงงานชีวมวล แต่ทั้งนี้ การส่งวัตถุที่เป็นถ่านอย่างไม้ยางพาราไปขายที่ประเทศญี่ปุ่น ยังคงติดประเด็นปัญหาเรื่องการรับรองไม้ยางที่นำไปทำเป็นผงถ่าน เป็นไม้ยางที่ถูกต้อง ไม่ได้เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า เพราะฉะนั้นทาง สกย. ในฐานะองค์กรที่ให้การดูแลและส่งเสริมให้การสงเคราะห์การปลูกยางพารากับภาค เกษตรกรโดยตรง มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะให้การสนับสนุนการรับรองแหล่งที่มาของไม้ ยางพารา ซึ่งเป็นไม้ที่มาจากการปลูก ไม่ได้มาจากไม้ป่าธรรมชาติ

เป็นแนวทางหนึ่งหรือทางเลือกหนึ่งของพี่น้องเกษตรกรชาวสวนยาง รวมถึงผู้ประกอบการภายในประเทศที่คิดจะทำเรื่องของธุรกิจไม้ยางพาราไม่ว่าจะ เป็นกิ่ง เศษไม้เล็กๆ รากไม้ยาง เอามาบดเพื่อที่จะไปทำเป็นถ่านอัดก้อนส่งไปขาย ทำให้เกษตรกรมีโอกาสเพิ่มรายได้ในการขายเศษไม้ยางที่ขายไม่ได้ราคา ซึ่งส่วนมากจะทำลายด้วยการเผาทิ้ง ทำให้เกิดมลภาวะทางอากาศ และภาคเอกชน ได้มีโอกาสทำธุรกิจขายพลังงานชีวมวลให้กับต่างประเทศ นับว่า เป็นการสร้างประโยชน์ให้กับทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี"
 
นางอุมาพร ฟูตระกูล ผู้แทนกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นหนึ่งในอีกหลายๆ โครงการจากความร่วมมือการเจรจาทางธุรกิจร่วมกันระหว่างกรมส่งเสริมการค้า ระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และ องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น  (เจโทรฯ กรุงเทพฯ) การส่งเสริมสินค้า ?วู้ดพาเลท" ไปยังประเทศญี่ปุ่น เป็นโครงการที่มีความเป็นมาจากกรณีเหตุการณ์โรงงานผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ของ ญี่ปุ่นระเบิด ทำให้โรงงานก็มีจำนวนลดลง ส่งผลต่อการผลิตกำลังไฟฟ้าภายในประเทศ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงหันมาส่งเสริมโรงงานผลิตไฟฟ้าแบบชีวมวลมากขึ้น ปัจจุบัน ประเทศญี่ปุ่นได้มีการนำเข้าไม้จากประเทศแคนาดาโดยส่วนใหญ่ และผลิตใช้เองในประเทศ แต่จะเป็นรูปแบบของ ?วู้ดชิพ " ซึ่งเป็นเศษไม้จริงๆ ที่ได้จากการปลูกเพื่อตัดมาทำเป็นพลังงานโดยเฉพาะ ประกอบกับแนวโน้มของโลกที่ต้องการจะลดมลภาวะ จึงทำให้มีการส่งเสริมการตั้งโรงงานไฟฟ้าและผลิตโดยชีวมวล ทั้งนี้ ชีวมวล จะมีวัตถุดิบที่นำมาเผาเป็นเชื้อเพลิงก็มีหลายแบบ ซึ่งทางประเทศไทยมองเห็นว่าขณะนี้ ยางพารามีปัญหาเรื่องราคาตกต่ำ ดังนั้น รัฐบาลได้เล็งเห็นความสำคัญในการจะสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลผลิตนี้ได้อย่างไร ทางกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จึงมองเห็นว่าผู้ประกอบการไทยมีความสนใจที่จะผลิตวู้ดพาเลทจากเศษไม้ยางพารา ที่ผ่านมา ไม้ยางพาราที่มีการโค่นแล้วในส่วนที่เหลือก็ต้องมีการเผา ทำให้เกิดมลภาวะในอากาศ หากเอาเศษไม้ยางพารามาใช้ประโยชน์ โดยการนำมาอัดแท่งเป็นขี้เลื่อย จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพารา และสร้างรายได้ทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการต่อไป
 
สำหรับกระบวนการนำเข้าวู้ดพาเลทไปประเทศญี่ปุ่น จะต้องมีกฎระเบียบ โดยเฉพาะเรื่องใบรับรองแหล่งที่มาของไม้ เพราะกฎหมายของทางญี่ปุ่น ได้มีการระบุว่า ไม้ที่นำมาทำนั้น ทำมาจากเศษไม้ยางพาราและไม่ได้นำมาจากการตัดไม้ทำลายป่า แต่เป็นป่าที่ต้องมีการปลูกทดแทนอยู่แล้ว เนื่องจากหมดสภาพ ซึ่งหน่วยงานที่จะให้การรับรองในส่วนนี้ได้ จะต้องให้ทาง สกย. พิจารณา เพื่อส่งเสริมและอุดหนุนเกษตรกรชาวสวนยาง และคิดว่า สกย. จะเป็นไฟสว่างให้ไปเจอทางออกของเศรษฐกิจให้ได้ขณะนี้ ข้อกังวลเดียวคือ ใบรับรอง สำหรับช่องทางการตลาด กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ดำเนินการไว้แล้ว ทั้งนี้ ในปี 2015 ประเทศญี่ปุ่น มีความต้องการวู้ดพาเลทประมาณ 270,000 ตัน และในปี 2019 มีความต้องการสูงถึง 1.3 ล้านตัน ซึ่งที่ผ่านมา ผู้ประกอบการของไทยมีความตื่นตัวและกำลังเร่งสร้างโรงงานประมาณ 50 แห่งในภาคใต้ เพราะภาคใต้เป็นภาคที่ปลูกยางพาราเป็นหลัก โดยมีการส่งขายภายในประเทศ แต่หากการเจรจาครั้งนี้ทางญี่ปุ่นยอมรับการรับรองการนำเข้าดังกล่าวได้ จะช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น
 
นายโยชิอะกิ โยเนะยะมะ ผู้อำนวยการฝ่ายความร่วมมือทางการค้า เจโทร กรุงเทพฯ กล่าวว่า เจโทร มีหน้าที่ในการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก แต่อย่างไรก็ตาม เจโทร ยังให้ความสำคัญในการสร้างและพัฒนาผู้ประกอบการพร้อมกันด้วย การเจรจาธุรกิจในครั้งนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับผู้ประกอบของต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) และผู้ที่จะส่งออกของชาวไทย ซึ่งมีความต้องการซื้อ และขายวัตถุดิบที่จะนำไปสู่การผลิตพลังงานไฟฟ้า ที่เรียกว่า พลังงานชีวมวล จึงเป็นบทบาทของเราที่มีหน้าที่ติดต่อประสานงาน เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีในการทำธุรกิจระหว่างผู้นำเข้า และส่งออกของประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม ในการเจรจาหารือครั้งนี้ ซึ่งมีประเด็นการรับรองผลิตผลทางการเกษตรเป็นไม้ยางพาราสามารถกระจ่างได้ อย่างชัดเจน ทางเจโทรจะเร่งกลับไปดำเนินการให้กระบวนการต่างๆ นั้น สามารถดำเนินการไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น เพราะเรามีข้อมูลอยู่แล้วว่าบริษัทเทรดดิ้ง ที่ต้องการใช้วู้ดพาเลทมีกี่แห่ง ที่ใดบ้าง จึงเป็นโอกาสดีที่จะทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นจริงในเวลาอันรวดเร็วได้ เพราะทางญี่ปุ่นจะรู้สึกจะดีใจมาก หากสามารถสร้างผลประโยชน์ให้กับเกษตรกรชาวไทย และทำให้การนำเข้าเป็นประโยชน์ของผู้ประกอบการทั้งสองฝ่ายด้วย



อินโฟเควสท์ โดย รัชดา คงขุนเทียน/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--

61011
ตรัง, ชาวบ้านร้องสื่อ โรงงานยางแอบปล่อยน้ำลงคลอง ส่งกลิ่นเหม็น ( ข่าวตรัง )


ข่าวตรัง : ชาวบ้านร้องสื่อ โรงงานยางแอบปล่อยน้ำลงคลอง ส่งกลิ่นเหม็น

ชาวบ้านร้องเรียนผู้สื่อข่าวว่ามีโรงงานยางปล่อยน้ำเสียลงคลองมานานร่วม 3 ปี ทำให้น้ำเสียจนอุปโภคบริโภคไม่ได้ แถมยังส่งกลิ่นเหม็นรบกวนชาวบ้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าชาวบ้านพื้นที่หมู่ที่ 2 และหมู่ที่ 6 ตำบลนาตาล่วง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง จำนวน 20 ครัวเรือน ได้ร้องเรียนต่อผู้สื่อข่าวถึงความเดือดร้อน จากโรงงานแปรรูปยางพาราแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายตรัง-ห้วยยอด หมู่ที่ 2 ตำบลนาตาล่วง และริมทางรถไฟสายตรัง-กรุงเทพฯ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว พบว่า ตัวอาคารของโรงงานแห่งนี้มีสภาพเก่า เนื่องจากเจ้าของได้เลิกกิจการ และปล่อยทิ้งร้างเอาไว้นานแล้ว ทำให้ประตูหน้าต่างเกิดชำรุดทรุดโทรมพังเสียหาย และคงไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อีก

สำหรับบริเวณด้านหลังของโรงงานเป็นที่ราบลุ่ม มีบ่อเก็บน้ำทิ้ง 2 บ่อ แต่ไม่มีเครื่องบำบัดน้ำเสียแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำภายในบ่อน้ำทิ้งนั้น มีสีดำสนิท และส่งกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง ส่วนใกล้ๆ กับบ่อน้ำทิ้งซึ่งลาดต่ำลงไป พบกับลำห้วยซึ่งมีชื่อว่า \"ห้วยหลักโดน\" ที่มีน้ำไหลรินอยู่ตลอดเวลา โดยน้ำจากห้วยดังกล่าว จะไหลไปออกทุ่งนาข่า เลียบถนนสายเลี่ยงเมือง จากนั้น จะไหลลงสู่คลองปอน พื้นที่หมู่ที่ 1 ตำบลนาตาล่วง และในที่สุดก็จะไหลลงสู่แม่น้ำตรัง

นายประจบ ทองตาล่วง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 ตำบลนาตาล่วง และเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ระบุว่า โรงงานแห่งนี้ได้มีการปิดตัวลงอย่างถาวรนานกว่า 3 ปีแล้ว แต่ช่วงหลังมานี้ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง ได้ร้องเรียนว่า มีการลักลอบแปรรูปเศษยางพาราภายในโรงงานอยู่บ่อยครั้ง และได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง จึงได้เดินทางเข้ามาร้องเรียนต่อตนเองและ อบต.

ทั้งนี้ เมื่อส่งเจ้าหน้าที่ไปสังเกตุการณ์ก็พบการกระทำ ตามที่ชาวบ้านร้องเรียนเดือนละ 2-3 ครั้งจริงๆ ซึ่งทาง อบต.นาตาล่วง ก็ได้ตักเตือนไปแล้วว่า ขอให้เลิกการแปรรูปเศษยางพาราอย่างเด็ดขาด หรือหากจะดำเนินการ ก็ต้องทำการปรับปรุงซ่อมแซมโรงงาน ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมจะดำเนินกิจการเสียก่อน แล้วมาขออนุญาตให้ถูกต้อง แต่หากยังไม่ปฏิบัติตาม ก็จะเสนอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ทำการเพิกถอนใบอนุญาตโรงงานต่อไป

นางเจือบ ทองตาล่วง อยู่บ้านเลขที่ 79 หมู่ที่ 2 ตำบลนาตาล่วง ซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับโรงงาน กล่าวว่า ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงประมาณ 20 ครัวเรือน ได้รับความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงนานประมาณ 2 ปีแล้ว ซึ่งคงจะเกิดมาจากการลักลอบแปรรูปเศษยางพารา เพราะหากปล่อยโรงงานทิ้งร้างไว้ภายในระเวลากว่า 3 ปี น้ำเหม็นจากบ่อน้ำทิ้งก็คงจะไม่มีกลิ่นแล้ว

โดยเฉพาะครอบครัวของตน ซึ่งมีผู้คนอาศัยกันอยู่ประมาณ 5 คน รวมทั้งยังมีเด็กเล็กๆ รวมอยู่ด้วย จะได้รับความเดือนร้อนมากที่สุด ยิ่งในช่วงค่ำ และช่วงฝนตกหนัก ทำให้เกิดสภาพอากาศปิด และจะมีกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรง บางครั้งบุตรชายของตนทนไม่ได้ ต้องวิ่งออกไปบอกผู้ที่กำลังแปรรูปเศษยางพาราอยู่ภายในโรงงานว่า ทนไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็ยังคงดำเนินการต่อ จึงขอร้องเรียนให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาดูแลโดยด่วน



ข้อมูลจาก : ผู้จัดการออนไลน์

61012
เหนือจรดใต้: ร้อง 2 โรงงานทำให้น้ำเน่าเสีย


 หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2558 00:00:21 น.
 
ชุมพร * นายภิรมย์ ฉิมวารี รองนายก อบต.บ้านควน อ.หลังสวน จ.ชุมพร นายประเสริฐ รัตนรัตน์ ผอ.กองช่าง, นายสงัด คงสุวรรณ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8 ต.บ้านควน พร้อมชาวบ้าน 30 คน ไปตรวจพื้นที่หน้าโรงงานแปรรูปไม้ยางพาราของบริษัท นีโอเทคพลายวู๊ด จำกัด และโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มสามารถปาล์มออยล์ ที่อยู่ติดกัน บริเวณริมถนนสายเอเชีย 41 หมู่ที่ 18 ต.บ้านควน หลังจากชาวบ้านร้องเรียนว่าปล่อยน้ำเสียลงไปในสวนปาล์มของชาวบ้าน และมีการเจรจาหาทางออกร่วมกัน แต่ก็ยังเกิดปัญหาขึ้นมาอีก เมื่อมีการปล่อยน้ำเสียลงลำห้วยญวน ลำห้วยสาธารณะ ส่งผลให้ชาวบ้าน 4 หมู่บ้านใน ต.บ้านควน คือ หมู่ที่ 7, 8, 9 และ 18 ได้รับผลกระทบ น้ำใช้ไม่ได้ ปลาเริ่มทยอยตาย จึงต้องรวมตัวกันออกมาเพื่อขอคำชี้แจง และให้ทั้งสองโรงงานแก้ไขปัญหาดังกล่าว


นายเฉลิมพงษ์ ภักดีเรือง อายุ 26 ปี ผู้จัดการโรงงานนีโอเทคพลายวู๊ด ซึ่งเป็นโรงงานแปรรูปไม้ยางพารา ได้เชิญตัวแทนชาวบ้านเข้าหารือเพื่อหาทางออก จากนั้นได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาทางโรงงานยอมรับว่าปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจริง และโรงงานก็พยายามแก้ไขมาโดยตลอด ขอเวลาอีก 15 วันเพื่อแก้ปัญหาน้ำเสียที่อยู่หน้าโรงงาน ในเบื้องต้นจะนำรถมาดูดและตักกากตะกอนออก ระยะต่อไปจะสร้างเครื่องดักขี้เถ้าและตะกอนตามคำแนะนำของ อบต.บ้านควน ส่วนระยะยาวจะสร้างบ่อบำบัดให้สามารถรองรับน้ำเสียต่อไป.



61013

'เกษตรฯตรัง'รณรงค์กิจกรรมโรครากขาวยางพารา


หนังสือพิมพ์บ้านเมือง -- พฤหัสบดีที่ 30 เมษายน 2558 00:00:04 น.
 
กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดตรัง ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอหาดสำราญ จัดกิจกรรมรณรงค์การจัดการโรครากขาวยางพารา
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โรคราขาว ยางพารา

 
ตรัง/ นายชลินทร์ ประพฤติตรง เกษตรจังหวัดตรัง เปิดเผยว่าเมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานเกษตรจังหวัดตรัง โดยกลุ่มอารักขาพืช ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอหาดสำราญ จัดกิจกรรมรณรงค์การจัดการโรครากขาวยางพารา ณ ศาลาประชาคม อำเภอหาดสำราญ จังหวัดตรัง ขึ้น โดยมีเกษตรกรเข้าร่วม จำนวน 40 ราย


นายชลินทร์ เปิดเผยต่อไปว่า สำหรับโรครากขาว ยางพารา (White root disease) เกิดจากเชื้อราที่สามารถเจริญเติบโตและระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูฝน อากาศมีความชื้นสูง สามารถเข้าทำลายรากยางพาราได้ทุกระยะการเจริญเติบโต ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป ในระยะเริ่มแรกจะไม่เห็นลักษณะผิดปกติของต้นยางพาราส่วนที่อยู่เหนือพื้นดิน เมื่อส่วนรากถูกทำลายเสียหายจนไม่สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารได้ จึงแสดงอาการใบเหลืองและใบร่วง
 
"สำหรับต้นยางเล็กที่เป็นโรค พุ่มใบทั้งหมดจะมีสีเหลืองผิดปกติ ถ้าเป็นต้นยางใหญ่ พุ่มใบบางส่วนจะดูเสมือนว่าแก่จัดและเหลือง ซึ่งจะแตกต่างกับสีเขียวเข้มของพุ่มใบต้นยางที่สมบูรณ์อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น หลังจากปลูกยางพาราไปแล้ว 1 ปี เกษตรกรควรตรวจค้นหาต้นยางพาราที่เป็นโรครากขาวเป็นประจำ เมื่อพบต้นเป็นโรค ควรขุดทำลายและรักษาต้นข้างเคียงโดยการใช้สารเคมี" นายชลินทร์ กล่าว




61014

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดบวก $1.05 หลังคลายกังวลอุปทานน้ำมันล้นตลาด



สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2558 07:14:18 น.


สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (30 เม.ย.) เนื่องจากตลาดยังคงขานรับรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในปีนี้ ส่งผลให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด



สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.05 ดอลลาร์ ปิดที่ 59.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 94 เซนต์ ปิดที่ 66.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง ลดลง 514,000 บาร์เรล สู่ระดับ 61.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงเป็นครั้งแรกในปีนี้
ขณะเดียวกัน สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 490.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.8 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงฮีตติ้งออยล์และน้ำมันดีเซล ลดลง 66,000 บาร์เรล สู่ระดับ 129.27 ล้านบาร์เรล เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล
ด้านบริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ เปิดเผยว่า จำนวนแท่นขุดเจาะในสหรัฐที่มีการใช้งานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 เม.ย. ลดลง 22 แท่น แตะที่ 932 แท่น


อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข โทร.02-2535000 ต่อ 338 อีเมล์: preeyapan@infoquest.co.th--




61015

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 195.01 จุด หลังข้อมูลศก.ผันผวน, วิตกผลประกอบการเอกชน


สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม 2558 05:38:29 น.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (30 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังกับผลประกอบการของภาคเอกชน ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจก็มีความผันผวน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง 195.01 จุด หรือ 1.08% ปิดที่ 17,840.52 จุด ดัชนี S&P500 หดตัว 21.34 จุด หรือ 1.01% ปิดที่ 2,085.51 จุด ดัชนี NASDAQ อ่อนตัวลง 82.22 จุด หรือ 1.64% ปิดที่ 4,941.42 จุด


หุ้น LinkedIn ดิ่งลงกว่า 20% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนในไตรมาสแรก โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพราะเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าและอัตราการเติบโตที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ขณะที่หุ้น Time Warner Cable ลดลง 1.5% หลังทำรายได้และกำไรได้น่าผิดหวังในช่วงไตรมาสแรก
นอกจากนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวนยังสร้างความไม่แน่นอนเรื่องกำหนดเวลาในการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 25 เม.ย. ลดลง 34,000 ราย แตะ 262,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนมี.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% ด้านรายได้ส่วนบุคคลทรงตัวในเดือนมี.ค. หรือไม่มีการเพิ่มขึ้น ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%


อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ปรียพรรณ มีสุข โทร.02-2535000 ต่อ 338 อีเมล์: preeyapan@infoquest.co.th--


61016

สรุปราคาปิดตลาด ยางตลาดล่วงหน้า ประจำวัน พฤหัสฯ ที่ 30  เมษายน  2558


เปรียบเทียบเปอเซนต์ราคายาง RSS3 ตลาดล่วงหน้า(ราคาปิดตลาด)
TOCOM Day ราคา Settle เพิ่มขึ้น 0.88%
SHFE ปิดตลาด  เพิ่มขึ้น 2.11%
AFET ปิดตลาด  เพิ่มขึ้น0.93%
SICOM  ราคาเพิ่มขึ้น 1.60 %


รายละเอียดการปิดตลาดต่างๆมีดังนี้...
=========================
ราคาปิดตลาด TOCOM ช่วง Day Session


มีปริมาณซื้อขายรวมทั้งสิ้น 17,672 สัญญา
ราคาส่งมอบเดือน ตัวแทนตลาด ซึ่งเป็นเดือนตัวแทนตลาด 11,114 สัญญา
โดยเปิดซื้อขายกันที่ 217.40 เยน โดยราคาเปิด  เพิ่มขึ้น 0.70 เยน(0.32%)
ขึ้นไปสูงสุด 219.70 เยน โดยราคาสูงสุด  เพิ่มขึ้น 3.00 เยน(1.38%)
ลงไปต่ำสุด 216.70 เยน โดยราคาต่ำสุด  ลดลง 0.00 เยน(0.00%)
ปิดตลาดที่ 218.4 เยน โดยราคาปิด  เพิ่มขึ้น 1.7 เยน(0.784494693%)
หากคำนวณ(ราคาต่ำสุด)ลบ(ราคาสูงสุด) 3 เยน
หากคำนวณ(ราคาเปิด)ลบ(ราคาปิด) 1เยน
ส่วนราคา Settle อยู่ที่218.6 เยน
ราคา Settle เพิ่มขึ้น 1.9 เยน
คิดเป็นเปอร์เซนต์ เพิ่มขึ้น 0.876788186%
เทียบจากราคา(Settle)คิดเป็นเงินไทย(ก่อนหักค่าใช้จ่าย)60.57406 บาท/กก. เพิ่มขึ้น 0.52649บาท/กก. และ หากคำนวนจากเยนญี่ปุ่นเป็นดอลลาร์สหรัฐ(ก่อนหักค่าใช้จ่าย) 1.839447997 ดอลลาร์/กก.เพิ่มขึ้น 0.015987883 ดอลลาร์/กก.
สัญญา(TOCOM)ที่เปิดสถานะ(OI) ก่อนหน้า 24446 สัญญา ปัจจุบัน 25868 สัญญา  เพิ่มขึ้น 1422 สัญญา
***OI คือจำนวนของสัญญาที่มีการเปิดสถานะอยู่ ซึ่งจะคำนวณสะสมตั้งแต่วันแรกที่สัญญามีการซื้อขายจนถึงปัจจุบัน
(คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 0.2771 บาท/เยนและ อัตรา 1 ดอลลาร์ = 118.84 เยน)


AFET ปิดตลาด ยาง RSS3 


ยาง RSS มีปริมาณซื้อขายรวมทั้งสิ้น300 สัญญา
ราคาเดือน ตัวแทนตลดา ซึ่งเป็นเดือนตัวแทนตลาดมีปริมาณการซื้อขายทั้งสิ้น122 สัญญา
โดยเปิดซื้อขายกันที่57.00บาท/กก. ราคาเปิด เพิ่มขึ้น 0.55 บาท/กก.
ขึ้นไปสูงสุดที่58.20บาท/กก. ราคาสูงสุด เพิ่มขึ้น 1.75 บาท/กก.
ลงไปต่ำสุดที่ 57บาท/กก. ราคาต่ำสุด  เพิ่มขึ้น 0.55 บาท/กก.
ราคาสูงสุดกับต่ำสุดต่างกัน 1.2 บาท
ปิดตลาดที่58.1บาท/กก.คิดเป็นราคาดอลลาร์ = 1.764134329 ดอลลาร์/กก. (คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 32.934 บาท/ดอลลาร์)
ราคา เพิ่มขึ้น1.65 บาท/กก. (หรือเปลี่ยนแปลง 0.0501002 ดอลลาร์/กก.)
คิดเป็นเปอร์เซนต์ เพิ่มขึ้น0.931425%
สัญญา(AFET)ที่เปิดสถานะ(OI)งวดก่อน1288 สัญญา ปัจจุบัน 1300 สัญญา  เพิ่มขึ้น 12 สัญญา
***OI คือจำนวนของสัญญาที่มีการเปิดสถานะอยู่ ซึ่งจะคำนวณสะสมตั้งแต่วันแรกที่สัญญามีการซื้อขายจนถึงปัจจุบัน

ราคาปิดตลาด(Close)ยางเซี่ยงไฮ้ประเทศจีน(SHFE)


มีปริมาณซื้อขายรวมทั้งสิ้น721608 สัญญา *** Volume คือ จำนวนสัญญาที่มีการจับคู่ซื้อขายกันในแต่ละวัน
ราคาเดือนก.ย. 2015ซึ่งเป็นเดือนตัวแทนตลาดมีปริมาณการซื้อขายทั้งสิ้น666368 สัญญา
เปิดซื้อขายกันที่ 14135 หยวน/ตัน ราคาเปิดตลาดเปลี่ยนแปลง  ลดลง -30 หยวน/ตัน  หรือ -0.211789622%
ขึ้นไปสูงสุดของวันที่ 14525 หยวน/ตัน ราคาสูงสุดเปลี่ยนแปลง  เพิ่มขึ้น 360 หยวน/ตัน  หรือ 2.47848537%
ลงไปต่ำสุดของวันที่ 14060 หยวน/ตัน ราคาต่ำสุดเปลี่ยนแปลง  ลดลง -105 หยวน/ตัน  หรือ -0.746799431%
และมาปิดที่ 14470 หยวน/ตัน ราคาปิดเปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 305 หยวน/ตัน  หรือ 2.107809261%
 ***ส่วนต่างคำนวณจาก(ราคาปิด)ลบ(ราคาSettleงวดก่อน)
หากคำนวณ(ราคาต่ำสุด)ลบ(ราคาสูงสุด) ห่างกัน465 หยวน/ตัน
หากคำนวณ(ราคาเปิด)ลบ(ราคาปิด)  บวก 335 หยวน/ตัน
ส่วนราคา settle ของยางเซี่ยงไฮ้ SHFE เดือนส่งมอบ42248 อยู่ที่ 14360หยวน/ตัน เพิ่มขึ้น195 หยวน/ตัน หรือ 1.376632545%
ราคาปิดและราคาSettleเท่ากัน195 หยวน
เทียบจาก(ราคาปิด)คิดเป็นเงินไทย(ก่อนหักค่าใช้จ่าย)76.85131108บาท/กก. เพิ่มขึ้น 1.619879052บาท/กก. และ หากคำนวนจากหยวนเป็นดอลลาร์สหรัฐ(ก่อนหักค่าใช้จ่าย)2333.494598 ดอลลาร์/ตัน คิดเป็นกิโลกรัม =2.333494598 ดอลลาร์/กก. เปลี่ยนแปลง เพิ่มขึ้น 49.18561522
สัญญา(SHFE)ที่เปิดสถานะ(OI)ก่อนหน้านี้334976สัญญาสัญญาที่เปิดสถานะ(OI)วันนี้350006สัญญา เพิ่มขึ้น 15030สัญญา
***OI คือจำนวนของสัญญาที่มีการเปิดสถานะอยู่ ซึ่งจะคำนวณสะสมตั้งแต่วันแรกที่สัญญามีการซื้อขายจนถึงปัจจุบัน
(คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท=5.311078858บาท/หยวนและ อัตรา 1 ดอลลาร์ =6.201หยวน)*ที่มา Bloomberg


ราคาปิดตลาดยาง SICOM ประเทศสิงค์โปร์




ราคายางRSS3 ตลาดยางSICOM ราคาส่งมอบเดือน เม.ย.ปิดที่179 เซนต์สหรัฐ  ราคาเพิ่มขึ้น 0.9 เซนต์สหรัฐ
เปิดซื้อขายที่179 เซนต์สหรัฐ ราคาเปิดเพิ่มขึ้น 0.90 เซนต์สหรัฐ
ขึ้นไปสูงสุด179 เซนต์สหรัฐ ราคาสูงสุดเพิ่มขึ้น 0.90 เซนต์สหรัฐ
ลงไปต่ำสุด 179 เซนต์สหรัฐ ราคาต่ำสุดเพิ่มขึ้น 0.90 เซนต์สหรัฐ
ปริมาณการซื้อขาย 152 สัญญา
หากคำนวณราคาปิดวันนี้เพื่อดูแนวโน้มราคาเปิดของโรงงานพรุ่งนี้ คาดว่าโรงงานจะเปิดราคารมแผ่นได้ในกรอบ 49-53 บาท เฉลี่ย 51 บาท


ราคายางTSR20 ตลาดยางSICOM ราคาส่งมอบเดือน เม.ย.ปิดที่149 เซนต์สหรัฐ  ราคาเพิ่มขึ้น 2.4 เซนต์สหรัฐ
เปิดซื้อขายที่150 เซนต์สหรัฐ ราคาเปิดเพิ่มขึ้น 3.40 เซนต์สหรัฐ
ขึ้นไปสูงสุด150 เซนต์สหรัฐ ราคาสูงสุดเพิ่มขึ้น 3.4 เซนต์สหรัฐ
ลงไปต่ำสุด 142.8 เซนต์สหรัฐ ราคาต่ำสุดลดลง -3.8 เซนต์สหรัฐ
ปริมาณการซื้อขาย 4939 สัญญา
หากคำนวณราคาปิดวันนี้เพื่อดูแนวโน้มราคาเปิดของโรงงานพรุ่งนี้ คาดว่าโรงงานจะเปิดราคาเศษยางได้ในกรอบ 37-43 บาท เฉลี่ย 40 บาท


หมายเหตุ : ราคาที่สรุปนี้เป็นราคาปิดตลาด(Close)ไม่ใช่ราคาSettle


=====================================================================
จัดทำโดย ทีมงาน www.rakayang.net




















61017

ราคาปิดตลาดยาง SICOM ประเทศสิงค์โปร์ ประจำวัน พฤหัสฯ ที่ 30เมษายน2558 ราคายาง RSS3 ราคาเดือนเม.ย. ราคาเพิ่มขึ้น 0.9เซนต์สหรัฐ ปิดที่179  เซนต์สหรัฐ




ราคายางRSS3
ตลาดยางSICOM ราคาส่งมอบเดือน เม.ย.ปิดที่179 เซนต์สหรัฐ  ราคาเพิ่มขึ้น 0.9 เซนต์สหรัฐหรือ คิดเป็นเปอร์เซนต์ 1.60 %
เปิดซื้อขายที่179 เซนต์สหรัฐ ราคาเปิดเพิ่มขึ้น 0.90 เซนต์สหรัฐ
ขึ้นไปสูงสุด179 เซนต์สหรัฐ ราคาสูงสุดเพิ่มขึ้น 0.90 เซนต์สหรัฐ
ลงไปต่ำสุด 179 เซนต์สหรัฐ ราคาต่ำสุดเพิ่มขึ้น 0.90 เซนต์สหรัฐ
ปริมาณการซื้อขาย 152 สัญญา
หากคำนวณราคาปิดวันนี้เพื่อดูแนวโน้มราคาเปิดของโรงงานพรุ่งนี้ คาดว่าโรงงานจะเปิดราคารมแผ่นได้ในกรอบ 49-53 บาท เฉลี่ย 51 บาท

Contract MonthLastChg From Prev SettleBidAskOpenHighLowCloseVolOpen IntSettlePrev. Day SettleTHBส่วนต่างบาท%ส่วนต่าง
Eพ.ค.-151790.9--179179179-62364-178.158.950.30+0.51%
Eมิ.ย.-151793177179178.4179178.4-24173-17658.950.99+1.70%
Eก.ค.-151793.5176.5179176179176-6618-175.558.951.15+1.99%
Eส.ค.-15178.73.5176.5178.7178.7178.7178.7-4205-175.258.851.15+2.00%
Eก.ย.-151783.7178179.5176.2178176.2-43184-174.358.621.22+2.12%
Eต.ค.-151782.6178180.5178178178-495-175.458.620.86+1.48%
Eพ.ย.-151783177181178178178-467-17558.620.99+1.71%
Eธ.ค.-15177.62.1177.6183177.6177.6177.6-50-175.558.490.69+1.20%
Eม.ค.-16--178.5184-----20-175.50000
Eก.พ.-16---------0-175.50000
Eมี.ค.-16---------0-175.50000
Eเม.ย.-16--180191.2-----0-175.50000
total
152
1726

ราคายางTSR20
ตลาดยางSICOM ราคาส่งมอบเดือน เม.ย.ปิดที่149 เซนต์สหรัฐ  ราคาเพิ่มขึ้น 2.4 เซนต์สหรัฐหรือ คิดเป็นเปอร์เซนต์ 3.52 %
เปิดซื้อขายที่150 เซนต์สหรัฐ ราคาเปิดเพิ่มขึ้น 3.40 เซนต์สหรัฐ
ขึ้นไปสูงสุด150 เซนต์สหรัฐ ราคาสูงสุดเพิ่มขึ้น 3.4 เซนต์สหรัฐ
ลงไปต่ำสุด 142.8 เซนต์สหรัฐ ราคาต่ำสุดลดลง -3.8 เซนต์สหรัฐ
ปริมาณการซื้อขาย 4939 สัญญา
หากคำนวณราคาปิดวันนี้เพื่อดูแนวโน้มราคาเปิดของโรงงานพรุ่งนี้ คาดว่าโรงงานจะเปิดราคาเศษยางได้ในกรอบ 37-43 บาท เฉลี่ย 40 บาท


Contract MonthLastChg From Prev SettleBidAskOpenHighLowCloseVolOpen IntSettlePrev. Day SettleTHBส่วนต่างบาท%ส่วนต่าง
Eพ.ค.-151492.4144.5152150150142.8-383137-146.649.070.79+1.64%
Eมิ.ย.-15147.22.9147147.4146147.4146-4895,117-144.348.480.96+2.01%
Eก.ค.-15149.22.6148.9149.4148149.4148-3265,353-146.649.140.86+1.77%
Eส.ค.-15151.42.9151151.5150151.4149.8-1,0456,027-148.549.860.96+1.95%
Eก.ย.-15152.23.4151.6152.2151152.4150.3-1,0094,048-148.850.131.12+2.28%
Eต.ค.-15153.53.1153153.5151.9153.5151.5-9373,675-150.450.551.02+2.06%
Eพ.ย.-15153.93.9153.9154.1151.8153.9151.8-3011,977-15050.691.28+2.60%
Eธ.ค.-15154.34154.3155151.9154.4151.9-1871,234-150.350.821.32+2.66%
Eม.ค.-16154.94.4154.9156152.9155.1152.3-217651-150.551.011.45+2.92%
Eก.พ.-161554153.5157154.4155.1154.4-31383-15151.051.32+2.65%
Eมี.ค.-16155.33.3154162154.5155.3154.4-14242-15251.151.09+2.17%
Eเม.ย.-16--154163-----152-152.40000
total
4939[/t][/t] 28,996



หมายเหตุ : ราคาที่สรุปนี้เป็นราคาปิดตลาด(Close)ไม่ใช่ราคาSettle






จัดทำโดย ทีมงาน www.rakayang.net

61018

TOCOM ปิดตลาดช่วง Night Session  ประจำวัน พฤหัสฯ ที่ 30 เมษายน 2558ต.ค.-2015 เพิ่มขึ้น 1.2เยน  ปิดที่219.80เยน ปริมาณ 1,303 สัญญา
                                                                                                                                                               
มีปริมาณซื้อขายรวมทั้งสิ้น1,818 สัญญา
ราคาส่งมอบเดือน ต.ค.-2015ซึ่งเป็นเดือนตัวแทนตลาด1,303 สัญญา
โดยเปิดซื้อขายกันที่ 218.60 เยน โดยราคาเปิด ลดลง 0.00เยน
ขึ้นไปสูงสุด 219.90 เยน โดยราคาสูงสุด เพิ่มขึ้น 1.30เยน
ลงไปต่ำสุด 218.30 เยน โดยราคาต่ำสุด ลดลง -0.30เยน
ปิดตลาดที่ 219.80 เยน โดยราคาปิด เพิ่มขึ้น 1.20เยน
คิดเป็นเปอร์เซนต์ 0.55%
คิดเป็นเงินไทย 60.91บาท/กก. ลดลง 0.33บาท
(คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 0.2771บาท/100เยน)
หากคำนวณจากราคาเปิดราคา  เพิ่มขึ้น 1.20 เยน
ราคาต่ำสุดและราคาสูงสุด บวกลบกันแล้วห่างกัน 1.60 เยน


หมายเหต : ราคาปิดช่วง Night Session ดังกล่าวไม่ได้เป็นตัวตั้งในการคำนวณราคาในวันถัดไป การคำนวณราคาในวันถัดไปจะใช้ราคา settement price ของช่วง Day session เท่ากับ 218.60 เยน


MonthLast Settlement PriceOpenHighLowCloseChangeVolumeSettlement%Changeคิดเป็นเงินไทย(บาท/กก.)เปลี่ยน(บาท)
May-15213.7213.7213.7213213.70107-
0.00
59.22
0.00
Jun-15215.7215.8216.3215.7216.30.613-
0.28
59.94
0.17
Jul-15214.5214.5215.5214.5215.5120-
0.47
59.72
0.28
Aug-15214.7214.2216214.2215.60.924-
0.42
59.74
0.25
Sep-15217216.6218.5216.6218.31.3351-
0.60
60.49
0.36
Oct-15218.6218.6219.9218.3219.81.21,303-
0.55
60.91
0.33
Total1,818


จัดทำโดย ทีมงาน www.rakayang.net

61019
ราคาเฉลี่ยซื้อน้ำยางสด ณ หน้าโรงงาน วันที่ 1-4/5/2558

ราคาซื้อน้ำยางสด ณ หน้าโรงงาน วันที่ 1-4/5/2558
ราคาเฉลี่ย ณ โรงงาน(+/-)ราคาท้องถิ่น
สงขลา49ปรับเพิ่มขึ้น+148
สุราษฏร์ธานี49ปรับเพิ่มขึ้น+0.5-
นครศรีธรรมราช49ปรับเพิ่มขึ้น+0.5-

61020

AFET ปิดตลาด ยาง RSS3  ประจำวัน พฤหัสฯ ที่ 30 เมษายน 2558ธ.ค.-2015 เพิ่มขึ้น1.65 บาท ปิดที่ราคา  58.10 บาท ปริมาณการซื้อขาย 122สัญญา


ยาง RSS มีปริมาณซื้อขายรวมทั้งสิ้น300 สัญญา
ราคาเดือน ธ.ค.-2015 ซึ่งเป็นเดือนตัวแทนตลาดมีปริมาณการซื้อขายทั้งสิ้น122 สัญญา
โดยเปิดซื้อขายกันที่57.00บาท/กก. ราคาเปิด เพิ่มขึ้น 0.55 บาท/กก.
ขึ้นไปสูงสุดที่58.20บาท/กก. ราคาสูงสุด เพิ่มขึ้น 1.75 บาท/กก.
ลงไปต่ำสุดที่ 57.00บาท/กก. ราคาต่ำสุด  เพิ่มขึ้น 0.55 บาท/กก.
ราคาสูงสุดกับต่ำสุดต่างกัน 1.20 บาท
ปิดตลาดที่58.10บาท/กก.คิดเป็นราคาดอลลาร์ = 1.76 ดอลลาร์/กก. (คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 32.934 บาท/ดอลลาร์)
ราคา เพิ่มขึ้น1.65 บาท/กก. (หรือเปลี่ยนแปลง 0.05 ดอลลาร์/กก.)
คิดเป็นเปอร์เซนต์ เพิ่มขึ้น0.93%
สัญญา(AFET)ที่เปิดสถานะ(OI)งวดก่อน1,288 สัญญา ปัจจุบัน 1,300 สัญญา  เพิ่มขึ้น 12 สัญญา
***OI คือจำนวนของสัญญาที่มีการเปิดสถานะอยู่ ซึ่งจะคำนวณสะสมตั้งแต่วันแรกที่สัญญามีการซื้อขายจนถึงปัจจุบัน



แนวรับแนวต้านระยะสั้น สำหรับวันพรุ่งนี้         
รูปแบบของการคำนวณ/Pivot point         
Levels   Standard   Woodie   Fibonacci
แนวต้านที่ 3   59.73   60.25   58.97
แนวต้านที่ 2   58.97   59.05   58.51
แนวต้านที่ 1   58.53   58.70   58.23
จุดกึ่งกลาง   57.77   57.85   57.77
แนวรับที่ 1   57.33   57.50   57.31
แนวรับที่ 2   56.57   56.65   57.03
แนวรับที่ 3   56.13   55.45   56.57
         
หมายเหตุ : แนวรับแนวต้านที่เห็นเป็นการคาดการณ์และการคำนวณตามสูตรเพื่อเป็นแนวทางและทางเลือก การใช้งานต้องอ้างอิงปัจจัยอื่นประกอบและรอบคอบให้มากก่อนการลงทุน         
   
ContractOpenHighLowBidBidOfferOfferLastLastChg.Settle. PriceVolumeOpen Interest
MonthVol.Vol.Vol.Prev.NewChg.Total*EFP Prev.Curr.Chg.
Req.
Jun-1558.458.558.42058.559458.570.8557.6558.50.85120202194-8
Jul-15 258.558.754 57.158.51.4001291290
Aug-1557.958.257.92058.258.5258.211.456.858.21.4110219217-2
Sep-1557.958.1557.92058.258.3158.1511.3556.858.151.35140224216-8
Oct-1557.457.5557.41457.55 57.5512.555.0557.552.5370210183-27
Nov-155758.157858.158.2158.1122.255.958.12.21040246245-1
Dec-155758.257358.158.2158.111.6556.4558.11.6512205811658
contract = 5,000 kg; price quotation = Baht/kgTotal30001,2881,30012
     
         
         
จัดทำโดย ทีมงาน www.rakayang.net   

หน้า: 1 ... 4066 4067 [4068] 4069 4070 ... 5508