ผู้เขียน หัวข้อ: "TNR" กางแผนเข้า SET วาดฝันปั๊มถุงยาง ขึ้นเบอร์ 1 โลก  (อ่าน 592 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82605
    • ดูรายละเอียด
"TNR" กางแผนเข้า SET วาดฝันปั๊มถุงยาง ขึ้นเบอร์ 1 โลก
updated: 16 พ.ย. 2559 เวลา 06:00:00 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
 
  เป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์น้องใหม่ที่กำลังจะเข้าเทรด (ซื้อขาย) บนกระดานหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในเร็ว ๆ นี้ สำหรับ บมจ.ไทยนิปปอนรับเบอร์ อินดัสตรี้ (TNR) ผู้ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางสัญชาติไทย 100% ที่มีแผนจะเทรดในตลาด SET ในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ ภายในสิ้นปีนี้

"อมร ดารารัตนโรจน์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เล่าว่า หลังจากได้รับการอนุมัติไฟลิ่ง (แบบแสดงรายการข้อมูลหลักทรัพย์) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มาแล้ว บริษัทคาดว่าจะสามารถเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 75 ล้านหุ้น โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายใหม่ 37.50 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท 37.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 25% ของหุ้นสามัญจดทะเบียนของบริษัท 

โดยเงินที่ได้รับจากการระดมทุนส่วนหนึ่ง บริษัทจะนำไปชำระหนี้เงินกู้ระยะสั้น 688 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจุบันอยู่ระดับ 2.4 เท่า และเงินที่เหลือบางส่วนจะนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

สำหรับความมุ่งหวังเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นก็เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างการเติบโตของธุรกิจและเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้นโดยบริษัทมีเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นผู้ผลิตถุงยางอนามัยที่มีกำลังการผลิตเป็นอันดับ1 ของโลก จากปัจจุบันมีกำลังการผลิตสูงสุด 1,959 ล้านชิ้นต่อปี อยู่อันดับ 2 ของโลกรองจากโรงงานผลิตถุงยางในมาเลเซียที่ผลิตได้ 3-4 พันล้านชิ้นต่อปี

"จุดเด่นของ TNR คือการมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เป็นของตนเอง โดยมีการผลิตถุงยางจากน้ำยางธรรมชาติบางที่สุดในโลก 0.03 มิลลิเมตร และที่ตั้งของโรงงานที่ได้เปรียบกว่าคู่แข่ง เพราะอยู่ใกล้วัตถุดิบน้ำยาง ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตถุงยาง 2 แห่ง คือที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง (กำลังการผลิต 426 ล้านชิ้นต่อปี) และโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (กำลังการผลิต 1,533 ล้านชิ้นต่อปี) หรือคิดเป็น 60% ของกำลังการผลิตทั้งหมด" อมรกล่าว

อย่างไรก็ดี บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตในปี 2560 ขยับขึ้นเป็น 80-90% ซึ่งจะส่งผลให้ต้องขยายโรงงานเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง อีกด้านหนึ่งบริษัทก็มีแผนจะออกไปลงทุนตั้งโรงงานในจีน ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการใช้ถุงยางอนามัยปีละ 4,000-5,000 ล้านชิ้น

สำหรับโครงสร้างรายได้ของธุรกิจแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ 1) ธุรกิจรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นให้แก่บริษัทเอกชนและองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 100 แห่งทั่วโลก ซึ่งธุรกิจนี้สร้างรายได้หลักแก่บริษัทสัดส่วน 77.9% 2) ธุรกิจงานประมูลผลิตถุงยางอนามัยกับองค์กรภาครัฐและองค์กรเอกชนทั้งในและต่างประเทศเพื่อนำไปจำหน่ายและแจกจ่ายมีสัดส่วนรายได้14.2%และ 3) ธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่นภายใต้เครื่องหมายการค้า "One Touch" ของบริษัท ซึ่งจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ มีสัดส่วนรายได้ 7.8%

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 29.2% และอัตรากำไรสุทธิ 16.9% โดยในช่วงที่ราคายางปรับตัวลดลง ก็เป็นโอกาสของบริษัทที่จะมีต้นทุนลดลง และเพิ่มมาร์จิ้น (กำไร) ได้

นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้บริษัทยังมีแผนจะร่วมทุนกับบริษัทเจ้าของถุงยางอนามัยเครื่องหมายการค้า "Playboy" เพื่อต่อยอดธุรกิจ หลังจากที่ผ่านมา TNR เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้กับพันธมิตรรายนี้


ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์