ตอบ

Warning: this topic has not been posted in for at least 120 days.
Unless you're sure you want to reply, please consider starting a new topic.
ชื่อ:
อีเมล์:
หัวข้อ:
ไอค่อนข้อความ:

แนบไฟล์:
(Clear Attachment)
(แนบไฟล์เพิ่ม)
Restrictions: 4 per post, maximum total size 192KB, maximum individual size 128KB
Verification:
กรุณาพิมพ์ชื่อนี้ Rakayang เป็น???าษาไทย:

shortcuts: กด alt+s เพื่อตั้งกระทู้ หรือ alt+p แสดงตัวอย่าง


สรุปหัวข้อ

ข้อความโดย: Rakayang.Com
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2016, 02:57:00 PM »

รมว.เกษตรฯ ลงตรังตรวจความคืบหน้าโครงการรับซื้อยางแสนตัน แนะ ปชช.อย่าพึ่งเพียงยางพารา
โดย MGR Online

5 กุมภาพันธ์ 2559 14:24 น. (แก้ไขล่าสุด 5 กุมภาพันธ์ 2559 14:49 น.)


ตรัง - รม ว.เกษตรฯ ตรวจจุดรับซื้อยางตรัง เพื่อรับทราบปัญหา พบมีหลายประเด็นต้องแก้ไข ระบุเร่งประชาสัมพันธ์เพิ่มให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการ แนะ ปชช.ควรหารายได้เสริมทางอื่นด้วย
       
        วันนี้ (5 ก.พ.) ที่สหกรณ์การยางบ้านหนองคล้า หมู่ที่ 13 ต.เขาวิเศษ อ.วังวิเศษ จ.ตรัง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯ พร้อมคณะ ตรวจเยี่ยมจุดรับซื้อยางตามโครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ โดยเยี่ยมชมกระบวนการรับซื้อยาง การลงทะเบียนของเกษตรกร การตรวจสอบสิทธิ และการชั่งน้ำหนักยาง จนถึงกระบวนการผลิตยางแผ่นดิบ และยางแผ่นรมควัน
       
        ซึ่งตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.-5 ก.พ.นี้ ได้เปิดจุดรับซื้อทั้งจังหวัดรวม 10 อำเภอ จำนวน 36 จุด จากที่ตั้งเป้าไว้จำนวน 55 จุด ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้พบปะกับกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางบ้านหนองคล้า พร้อมรับฟังความคิดเห็น และปัญหาต่างๆ ของเกษตรกร ก่อนที่จะเดินทางไปยังสหกรณ์การยางบ้านคลองโตนพัฒนา หมู่ที่ 16 ต.เขาวิเศษ อ.วังวิเศษ เพื่อเยี่ยมชมกระบวนการอัดก้อน ยางแผ่นรมควันเป็นยางลูกขุน ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน GAP


 โดย รมว.เกษตรฯ กล่าวว่า จ.ตรัง มีเกษตรกรที่ลงทะเบียนไว้ต่อการยางแห่งประเทศไทยกว่า 50,000 คน แต่เข้าร่วมโครงการแค่ 20,000 คน จึงอยากให้ทุกภาคส่วนใน จ.ตรัง เร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการให้ครบจำนวน เพื่อจะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลโดยให้ขึ้นทะเบียนต่อการยางแห่งประเทศ ไทยจึงจะได้รับสิทธิ
       
        อย่างไรก็ตาม เกษตรกรอย่าหวังพึ่งพายางพาราเพียงอย่างเดียว แต่ให้หาอาชีพเสริมในสวนยางพาราด้วย ซึ่งรัฐบาลมีเงินช่วยเหลือให้รายละ 100,000 บาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี ขณะนี้มีเกษตรกรหลายรายประสบความสำเร็จจากโครงการดังกล่าว