My Community
ข่าวที่มีผลต่อราคายาง => ข่าวยางโดยตรง => ข้อความที่เริ่มโดย: Rakayang.Com ที่ กันยายน 24, 2015, 09:02:48 AM
-
แนะใช้ม.44รื้อสัญญายางจีน ยอมขาดทุนครั้งเดียวจบ/ผุดต้นแบบเพิ่มใช้ยางในประเทศ
พุธ ที่ 16 กันยายน 2558
?ธนิต? เสนอ คสช. ใช้ ม.44 แก้สัญญาซื้อขายยางกับ ?ไชน่าไห่หนาน? แนะให้ยอมขาดทุน เลหลังขายยางทิ้ง 4 แสนตัน เจ็บครั้งเดียวจบ อีกด้านสนองนโยบายขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ยางแปรรูป อุดช่องว่างวิจัยขึ้นหิ้ง เผยนำร่องโมเดลต้นแบบที่ระยอง ใช้งบเพียง 4 แสนบาทฝึกอบรมเกษตรกรให้เป็นเถ้าแก่ หากสำเร็จใช้เป็นต้นแบบในจังหวัดอื่นๆ
(http://www.thansettakij.com/wp-content/uploads/2015/09/1ta.jpg) (http://www.thansettakij.com/wp-content/uploads/2015/09/1ta.jpg)
นายธนิต โสรัตน์ ประธานคณะทำงานศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพารา (ศบปย.) และที่ปรึกษาคณะกรรมการร่วมพัฒนายางทั้งระบบ ที่แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยกับ ?ฐานเศรษฐกิจ? ว่า จากยางพาราในสต๊อกรัฐบาลมีมากถึง 4 แสนตัน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้จีนซึ่งเป็นคู่ค้าหลักอ้างมาตลอดเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ ทำให้ราคายางทั้งในประเทศและตลาดโลกไม่สามารถขยับขึ้นได้ เรื่องนี้มองว่ารัฐบาลในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยอาจใช้ มาตรา 44 มาแก้สัญญาซื้อขายยางกับบริษัทไชน่า ไห่หนาน รับเบอร์ อินดัสทรีกรุ๊ปทั้งล็อตเก่าและล็อตใหม่จำนวน 4.08 แสนตัน โดยต้องยอมขายขาดทุนแบบเลหลังเหมือนเสื้อผ้าตกยุค ที่พอเข้าฤดูร้อน เสื้อผ้าหน้าหนาวก็ต้องขายทิ้ง อาจจะต้องยอมขาดทุน แบบครั้งเดียวจบ จะได้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่ยืดเยื้อ
?ปัญหาตอนนี้ที่เอกชนหรือฝ่ายไทยลังเล เพราะแต่ละฝ่ายใครซื้อใครขาย ก็อยากจะถือประโยชน์แต่ละฝ่ายมากที่สุด ซึ่งฝ่ายขาย ก็อยากจะให้เป็นสัญญาการส่งมอบ ณ วันที่เซ็นสัญญา ฝ่ายผู้ซื้ออยากจะเป็นสัญญาการส่งมอบ ณ วันที่ซื้อปัจจุบัน ดังนั้นมองว่าถ้าทางไชน่าไห่หนานฯ อยากขยายเวลารับมอบก็รีบเซ็นอนุมัติแล้วเร่งรัดให้ส่งมอบให้แล้วเสร็จคราว เดียว ถ้าขนไม่ทันก็ต้องรับผิดชอบค่าเช่าโกดังเอง ไม่มีประโยชน์ที่จะไปยกเลิกสัญญา?
นายธนิต กล่าวอีกว่า ตนเป็นประธานคณะทำงาน 1 ใน 7 คณะขับเคลื่อนยางพาราในระยะกลางน้ำ ตั้งข้อสังเกตว่าที่ผ่านมาทำไมนโยบายการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราในประเทศ เพิ่มปริมาณการใช้ยางพาราในประเทศจึงไม่ประสบความสำเร็จ โดยในปี 2557 มีการใช้ยางในประเทศ เพียง 5.41 แสนตันหรือคิดเป็นสัดส่วนเพียง 14.35% ของปริมาณยางทั้งหมดที่มีมูลค่ารวม 4.76 แสนล้านบาท ขณะเดียวกับการส่งออกยางในรูปกึ่งวัตถุดิบมีสัดส่วนสูงถึง 85.65% กลับมีมูลค่าเพียง 1.93 แสนล้านบาทตั้งแต่ปี 2554 มีการนำยางที่นำไปแปรรูปเพิ่มขึ้น 11.15% หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2.75% ส่วนใหญ่เกินกว่า 60% เป็นการเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมล้อรถยนต์ อย่างไรก็ตามปริมาณโรงงานซึ่งจดทะเบียนเป็นผู้ใช้ยางในช่วง 4 ปีที่ผ่านมากลับลดลง 18 โรงงาน คิดเป็น 7.7% แสดงให้เห็นถึงปัญหาการผลักดันนโยบายการแปรรูปยางที่ต้องมียุทธศาสตร์และ กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ
?ที่ผ่านมาการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงาน ในระดับกระดาษ ขาดการขับเคลื่อน งานวิจัยแปรรูปยางส่วนใหญ่อยู่บนหิ้งไม่สามารถต่อยอดธุรกิจ ขาดการเชื่อมโยงกับภาคเอกชนในลักษณะโซ่อุปทาน อาทิ การตลาด และการเข้าถึงแหล่งทุน ตลอดจนขาดพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์ด้านการทำอุตสาหกรรมและธุรกิจ ศบปย.จะเป็นศูนย์ต้นแบบการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง โดยจะมีกระทรวงต่างๆ ทำงานอย่างบูรณาการ อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรม พาณิชย์ คลัง และเกษตรและสหกรณ์?
นายธนิต ระบุเชื่อมั่นว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรฯ จะสามารถแก้ไขปัญหาและเพิ่มการใช้ยางพาราในประเทศได้ โดยทุกฝ่ายจะต้องทำอย่างบูรณาการและร่วมมือกันทั้งข้าราชการ เอกชนและเกษตรกร ไม่เกียร์ว่าง ทั้งนี้ศูนย์ ศบปย. ได้ใช้งบประมาณเพียง 4 แสนบาท นำร่องศูนย์ ต้นแบบวังจันทร์ จังหวัดระยอง เป็นแห่งแรกในการฝึกอบรมเกษตรกรแปรรูปยาง โดยมีหลักสูตรทั้งทฤษฎี และเข้าไปปฏิบัติจริงในโรงงานนั้น ตลอดจนการสร้างแบรนด์ส่งออก และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาตลาดซึ่งจะทำให้เกษตรกรเป็นเถ้าแก่ได้ในอนาคต ส่วนจังหวัดอื่นๆ ที่มีศักยภาพในการดำเนินการเช่น สงขลา พิษณุโลก และนครศรีธรรมราช ซึ่งต้องรอประเมินผลจากจังหวัดระยองก่อน เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไข
อนึ่ง เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2558 พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนา ยางพารา โดยให้นายสมชาย ชาญณรงค์กุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ ร่วมกับคณะทำงาน ประกอบด้วย เกษตรกรและข้าราชการ
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 35 ฉบับที่ 3087 วันที่ 13-16 กันยายน พ.ศ. 2558