ผู้เขียน หัวข้อ: หวั่นเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค  (อ่าน 620 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 90327
    • ดูรายละเอียด
หวั่นเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค
« เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2014, 07:59:22 AM »



   




 


ข่าวด่วน
 
หวั่นเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค


สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -20 พ.ค. 57 7:07: น.
 




** เสี่ยงถูกหั่นเครดิตช่วง Q3/57 สภาพัฒน์มองทั้งปีโต 1.5-2.5%


          วงการตลาดทุนประสานเสียงเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค(Technical recession) หลังประเมินจีดีพีไตรมาส 2/57 ส่อแววติดลบต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ติดลบ 2.1% เหตุปัญหาการเมืองยืดเยื้อฉุดการลงทุน-บริโภค-ท่องเที่ยวชะลอตัว ขณะที่ส่งออกโตน้อยกว่าคาดหวั่นประเทศถูกหั่นอันดับเครดิตในช่วงไตรมาส 3/57 และฉุดการแข่งขันระยะยาวด้านสภาพัฒน์หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือโต 1.5-2.5% จากเดิมคาดโต 3-4%


*** ศก.เสี่ยงถดถอยทางเทคนิค-ส่อถูกหั่นเครดิตฉุดการแข่งขัน
          ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทย (จีดีพี) ในไตรมาส 2 มีโอกาสที่จะติดลบต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ที่จีดีพีติดลบ 0.6% ซึ่งจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีแรกเข้าสู่ภาวะถดถอย หรือเกิดภาวะ Technical recession เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจทั้งภาคการส่งออก การบริโภคภายในประเทศ การท่องเที่ยวและการลงทุนยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยมีความเป็นห่วงว่าจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว และจะทำให้มีความเสี่ยงทำให้ประเทศไทยถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง??
อย่างไรก็ตาม มองว่าภาคเอกชนไทยมีความแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับภาวะเศรษฐกิจ จึงเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะโดยรวมของตลาดหุ้นไทย เพราะที่ผ่านมาตลาดฯ มีความสามารถในการปรับตัวให้รับกับปัจจัยเสี่ยงในด้านต่างๆ ได้ดี??
          "มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ที่ไตรมาส 2 จีดีพีจะติดลบต่อเนื่อง เพราะตัวเลขเศรษฐกิจยังไม่สะท้อนภาพการฟื้นตัว แต่ตรงนี้คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากนักเพราะเป็นเรื่องที่มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า และภาคเอกชนมีความแข็งแกร่งและปรับตัวได้ดี แต่ในระยะยาวเป็นห่วงว่าจะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้ลดลง สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นปัญหาสำคัญ ซึ่งถ้าหากปัญหาทางการเมืองจบได้เร็วจะทำให้เศรษฐกิจไม่เสียหายไปกว่านี้ แต่ในด้านการฟื้นตัวคงจะฟื้นตัวได้ช้าเนื่องจากต่อให้มีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศก็คงต้องเน้นด้านการปฏิรูปมากกว่าที่จะมาทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น" ดร.ก้องเกียรติ กล่าว
          นางภัทธีรา ดิลกรุ่งธีระภพ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย คาดว่าจีดีพีของไทยมีโอกาสติดลบอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2/57 ซึ่งสะท้อนจากแนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ที่คาดว่าจะยังคงทรงตัวจากไตรมาสแรก ในขณะที่มีวันหยุดเป็นจำนวนมาก และภาคการส่งออกที่ไม่เติบโตตามที่คาดการณ์ ??พร้อมกันนี้ประเมินว่าหากปัญหาการเมืองในประเทศยังยืดเยื้อและไร้ทางออกที่ชัดเจนในไตรมาส 2/57 มีโอกาสที่ประเทศไทย จะถูกสถาบันจัดอันดับเครดิต ปรับลดอันดับเครดิตของประเทศ ซึ่งปกติจะมีการเข้ามาประเมินในช่วงไตรมาส 3
          ด้านการหานายกรัฐมนตรีคนกลางเพื่อมาหาทางออกให้กับประเทศนั้น ในมุมมองของตลาดทุนคงจะไม่แสดงความคิดเห็นต่อประเด็นดังกล่าว แต่ต้องการเห็นความสงบให้เกิดขึ้นโดยเร็วและทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องเพื่อเลี่ยงการเกิดปัญหาเดิมๆขึ้นมาอีกในอนาคต
          นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง เปิดเผยกับ "สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" ว่า ประเมินว่ามีความเป็นได้ค่อนข้างมากที่ไตรมาส 2 ปีนี้ไทยจะยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้ต้องเลื่อนไปลุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้น ผลจากการที่ยังไม่มีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ จึงมีโอกาสและความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/57จะติดลบต่อเนื่องจากไตรมาส 1/57 ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกกันว่า "ถดถอยในทางเทคนิค" อย่างไรก็ตาม ในอดีตที่ผ่านมา ไทยก็เคยเจอภาวะดังกล่าว แต่ก็สามารถผ่านไปได้ด้วยดีทุกครั้ง??
          "ไตรมาส 2 คงขึ้นกับการเมืองว่าจะเป็นอย่างไร จะมีทางออกไหม แต่ตอนนี้มองข้ามไปครึ่งปีหลังแล้ว เพราะไตรมาส 2 คงยังไม่มี ดังนั้น การที่จะมีรัฐบาลเข้ามาแล้วออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจพรวดพราดคงยากแล้ว น่าจะปฏิรูปก่อน คืนเงินชาวนาก่อน อาจจะทำให้เศรษฐกิจไปช้าหน่อย แต่ก็เพื่อกระตุ้นให้กำลังซื้อเกิดขึ้น เพราะระดับรากหญ้า มีอิทธิพลต่อการจับจ่ายใช้สอยมาก" นางวรวรรณ กล่าว ??
ส่วนทั้งปี คาดการณ์จีดีพีโตแค่ 1% กว่า จากเดิมที่ประเมินว่าจะโตได้อย่างมากที่ 2% บนเงื่อนไขที่ว่าจะต้องมีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศก่อนกลางปี แต่สถานการณ์ปัจจุบันพบว่า ยังไม่น่าจะมีรัฐบาลได้ทัน คาดว่าจะเลื่อนเป็นครึ่งปีหลัง ทำให้ต้องปรับลดคาดการณ์จีดีพีลงมาดังกล่าว
          ด้านบล.บัวหลวง ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ )รายงาน GDP ของไทย ไตรมาส 1/57 ติดลบ 0.6% ทำให้เศรษฐกิจไทยอาจเกิด Technical recession หรือ GDP ติดลบติดต่อกัน 2 ไตรมาส ขณะเดียวกันคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)มีแนวโน้มปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลง ในการประชุมวันที่ 18 มิ.ย.นี้


*** คลังคาดหากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นใน 3 เดือนมีโอกาสถูกลดเครดิต
          นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวว่า มีความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะถูกปรับลดอันดับเครดิต(เรทติ้ง) โดยล่าสุดบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ มีการปรับมุมมองเครดิตของประเทศไทยลดลงแล้ว หากเหตุการณ์ทางการเมืองยังยืดเยื้อต่อไป และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงดีขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า ฟิทช์ฯก็จะปรับลดเครดิตของประเทศไทย ซึ่งจะไปกระทบตอนสิ้นปี และหากยังไม่มีรัฐบาลพอถึงไตรมาสแรกปีหน้าสถาบันจัดอันดับ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส และเอสแอนด์พี ก็จะปรับเครดิตของไทยลงตามฟิทช์ฯ


*** สภาพัฒน์ หั่นจีดีพีทั้งปีเหลือโต 1.5-2.5% ลดส่งออกเหลือ 3.7%
          สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ ) รายงานว่า เศรษฐกิจไทยทั้งปี 2557 มีแนวโน้มขยายตัว 1.5 - 2.5% ต่ำกว่าการขยายตัว 3.0 - 4.0% ที่คาดการณ์ไว้เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 โดยมีเหตุผลหลักในการปรับประมาณการในครั้งนี้ 3 ประการ คือ 1. ปัญหาทางการเมืองที่ยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้เดิม เป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดไว้เดิม ซึ่งจะส่งผลให้การจัดตั้งรัฐบาลมีแนวโน้มล่าช้าออกไปจากที่คาดการณ์ไว้เดิมและเป็นข้อจำกัดมากขึ้นต่อการดำเนินมาตรการเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การเบิกจ่ายงบประมาณ และการจัดเตรียมงบประมาณประจำปี 2558 ขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและภาคธุรกิจให้ระมัดระวังในการใช้จ่ายและการลงทุน ประกอบกับมีผลกระทบมาจากการที่ฐานรายได้และเศรษฐกิจโดยภาพรวมชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง 2. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แต่เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้จึงส่งผลให้ปริมาณการส่งออกของไทยฟื้นตัวช้าและราคาส่งออกลดลง และ 3. จำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาสแรกของปี 2557 ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวยังคงมีความอ่อนไหวต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้นักท่องเที่ยวในปี 2557 มีจำนวน 27.0 ล้านคน ลดลงจากสมมติฐาน 27.5 ล้านคนในการประมาณการครั้งก่อน
         นอกจากนั้น ยังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนในขณะที่การฟื้นตัวของการส่งออกที่มีแนวโน้มช้ากว่าที่คาดไว้เดิม ตามแนวโน้มความล่าช้าในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้น แรงส่งจากภาคการส่งออกจึงมีแนวโน้มต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว
         โดย มูลค่าการส่งออกสินค้าในปี 2557 คาดจะขยายตัว 3.7% ปรับลดจากการประมาณการครั้งก่อนที่ 5.0 - 7.0% โดยปรับลดทั้งปริมาณการส่งออกเป็นเพิ่มขึ้น4.2% จากที่คาดไว้เดิม 4.0 - 6.0% และราคาสินค้าส่งออกทั้งปีมีแนวโน้มลดลง 1.0 ? 0.0% ต่ำกว่าสมมติฐานการเพิ่มขึ้น1.9 ? 2.9% ในการประมาณการครั้งก่อน ตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า เมื่อรวมกับการปรับลดสมมติฐานด้านจำนวนนักท่องเที่ยว ทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 3.6% ต่ำกว่า 6.0 % ในการประมาณการครั้งก่อน ส่วนการนำเข้าปี 57 คาดว่าจะโต 0.5% จากเดิมคาดโต 5.7% ส่งผลคาดดุลการค้าปี 57 เกินดุล 13.6 พันล้านดอลล์
ส่วนคาดการณ์ตัวเลขการลงทุนรวมปี 57 ติดลบ 1.3 % จากเดิมคาดโต 3.1% โดยในส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะหดตัว 0.2% ซึ่งเป็นการปรับลดลงจากการขยายตัว 3.8% ในการประมาณการครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากแนวโน้มสถานการณ์ความยืดเยื้อทางการเมืองและผลจากการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจและการส่งออก ซึ่งทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตยังคงอยู่ในระดับต่ำ ปัจจัยดังกล่าว ยังส่งผลให้การบริโภครวมปี 57 คาดเติบโต 1.0% ลดลงจากเดิมคาดโต 1.6%
         ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัว1.8% ในขณะที่การลงทุนภาครัฐหดตัว 5.0% ซึ่งเป็นการปรับลดจากการขยายตัว 2.0% และ 0.3% ในการประมาณการครั้งก่อน ตามลำดับ เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลมีแนวโน้มล่าช้ากว่าคาดการณ์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายภาครัฐและการจัดเตรียมงบประมาณประจำปี 2558 มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม
          ด้านการใช้จ่ายภาคครัวเรือน คาดว่าจะขยายตัว 0.8% ปรับลดจากการขยายตัว 1.4% ในการประมาณการครั้งก่อน เนื่องจากการบริโภคสินค้าคงทนยังมีแนวโน้มลดลงจากฐานที่สูงมากอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 2รวมทั้งความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนเนื่องจากผลกระทบของสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ และการชะลอตัวของฐานรายได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สถาบันการเงินยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดปี 57 คาดว่าจะเกินดุล 0.5% ของจีดีพี หรือเกินดุล 1.9 พันล้านดอลล์ ปรับตัวดีขึ้นจากการขาดดุล 0.6% ในปี 56


*** จีดีพี Q1/57 ติดลบ 0.6%
          ด้าน GDP ไตรมาสแรกของปี 2557 สภาพัฒน์ รายงานว่า ติดลบ 0.6% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสแรกปรับตัวลดลงจากไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 2.1% (QoQ SA) ในขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ 0.9% อัตราเงินเฟ้อเท่ากับ 2.0% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 2.67 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 8.8% ของ GDP
          ทั้งนี้ เศรษฐกิจที่ติดลบในไตรมาสแรกมีสาเหตุสำคัญมาจากการลดลงของอุปสงค์ภาคเอกชนภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ส่วนปัจจัยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไม่ลดลงมากมี 2 ปัจจัย คือ การใช้จ่ายภาครัฐที่ยังคงมีการเบิกจ่ายเม็ดเงินงบประมาณของทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกเริ่มขยายตัว อย่างไรก็ดี ยังเป็นการฟื้นตัวที่ช้าและไม่เพียงพอที่จะชดเชยให้เศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ปัจจัยภายในประเทศที่ทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจติดลบดังกล่าว ได้แก่
          1. การใช้จ่ายภาคครัวเรือนลดลง3.0 %จากการที่ค่าใช้จ่ายในหมวดสินค้าคงทนลดลง โดยเฉพาะปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ลดลงมากจากฐานการขยายตัวที่สูงมากในไตรมาสแรกของปี 2556 ซึ่งเป็นช่วงที่ยังมีการส่งมอบรถยนต์ตามมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรก รวมทั้งเป็นผลจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงและระมัดระวังในเรื่องการใช้จ่ายเนื่องจากความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศและการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องของฐานรายได้และเศรษฐกิจโดยรวม
          2. การลงทุนรวมลดลง 9.8 % โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 7.3 เป็นการลดลงทั้งการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักรและหมวดการก่อสร้าง สอดคล้องกับการลดลงของมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนและการลดลงของพื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างในช่วงก่อนหน้า เช่นเดียวกับการลงทุนภาครัฐซึ่งลดลง19.3% ตามการลดลงของการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ
          3. การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น 2.9% เป็นผลจากการเบิกจ่ายงบประมาณในหมวดค่าตอบแทนบุคลากรที่เพิ่มขึ้นทั้งเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยง ส่วนค่าใช้จ่ายหมวดสาธารณูปโภคลดลงเนื่องจากการหยุดทำการชั่วคราวของส่วนราชการในกรุงเทพมหานครที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง โดยรวมแล้วอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 ในไตรมาสแรกอยู่ที่19.1% ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 24%
ในด้านภาคต่างประเทศ การส่งออกสินค้ามีมูลค่าทั้งสิ้น 55,573 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยปริมาณการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในอัตรา 0.9% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวอย่างช้าๆ และยังคงกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าส่งออกลดลง 1.6 % และส่งผลให้มูลค่าการส่งออกลดลง 0.8 % สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง ได้แก่ ยางพารา สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์โลหะ และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ส่วนสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าขยายตัว ได้แก่ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องจักรและอุปกรณ์
          มูลค่าการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นขยายตัวตามภาวการณ์ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในตลาดหลัก แต่มูลค่าการส่งออกไปยังจีนและอาเซียนลดลงตามภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัว เมื่อรวมกับการลดลงของจำนวนท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศและมาตรการเพิ่มคุณภาพนักท่องเที่ยวของจีน ทำให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการลดลง0.4%
ส่วนการนำเข้าสินค้ามีมูลค่า 49,054 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลง14.8% โดยที่ปริมาณการนำเข้าลดลง13.8 %เนื่องจากอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศลดลงและปริมาณการส่งออกเพิ่งเริ่มฟื้นตัวเพียงช้าๆ โดยรวมปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการหดตัว8.5 %การลดลงของมูลค่าการนำเข้าที่เร็วกว่ามูลค่าการส่งออกส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและการส่งออกสุทธิเริ่มปรับตัวในทิศทางที่เป็นบวก แต่ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยการลดลงของอุปสงค์ในประเทศ


*** ศก.หดตัวแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้
          ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ตัวเลขจีดีพีในไตรมาสแรกของปี 57 ที่ออกมาหดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาจกดดันให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมในปี 57 เติบโตต่ำกว่าที่ประเมินไว้ โดย 2 ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดหลังจากนี้ คือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจและมุมมองของนักลงทุนจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงยืดเยื้อ และทิศทางการฟื้นตัวของการส่งออก ??
          ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์อัตราการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ที่ 5% ในกรณีพื้นฐาน ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า จังหวะการฟื้นตัวของภาคการส่งออก น่าที่จะเริ่มทยอยปรากฏขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2/57 โดยมีแรงหนุนจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำในช่วงเดียวกันปีก่อน และทิศทางเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าน่าจะยังประคองภาพการขยายตัวไว้ได้ต่อเนื่องตามสัญญาณที่บวกมากขึ้นจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งทำให้จะต้องประเมินสภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและอาเซียน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทย รวมถึงประเด็นความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกบางรายการของไทยในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้อย่างใกล้ชิดต่อไป??
          สำหรับประเด็นปมปัญหาการเมืองไทย เนื่องจากความขัดแย้งที่ลากยาวมานานกว่า 6 เดือนอาจเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. 2557 ซึ่งหากว่า ทางออกของปัญหาการเมืองสามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากเหตุการณ์ที่รุนแรงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ก็อาจทำให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสทยอยกลับสู่เส้นทางการฟื้นตัวได้ในช่วงปลายปีนี้ โดยที่ภาวะการใช้จ่ายภายในประเทศไม่ทรุดตัวลงมากนัก??ณ ปัจจุบัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 57 ไว้ที่ 1.8% (กรอบคาดการณ์ 1.3-2.4%) อย่างไรก็ตาม หาก 2 ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ยังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้นในระยะ 1-2 เดือนข้างหน้า ก็อาจจำเป็นต้องมีการทบทวนปรับลดประมาณการอีกครั้ง




เรียบเรียง โดย ประน้อม บุญร่วม 
                อีเมล์. reporter@efinancethai.com










    Copyright ? 2014 eFinanceThai.com All rights reserved. Contact Us : customerservice@eFinanceThai.com
Tel : 02-541-4011  Customer Service Tel: 02-541-4011  Fax : 02-541-4017   Online Asset Co.,Ltd   LastestNews Detail