ผู้เขียน หัวข้อ: ชานชาลาประชาชน: หยุดโค่นยางพารา บนคราบน้ำตาประชาชน  (อ่าน 951 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 87982
    • ดูรายละเอียด

ชานชาลาประชาชน: หยุดโค่นยางพารา บนคราบน้ำตาประชาชน


หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2558 00:00:00 น.

สุริยัณต์ ทองหนูเอียด
หลังจากที่พลเอกดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบนโยบายเกี่ยวกับแก้ไขปัญหาบุกรุกที่ดินป่าไม้ (การตัดยางพารา) ในพื้นที่เขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในพื้นที่เขตภาคเหนือ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2558 โดยอ้างว่า



อันเนื่องมาจากบุคคล กลุ่มคน นายทุน และมีขบวนการที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่คำนึงถึงกฎหมาย ทำให้พื้นที่ป่าอนุรักษ์ และพื้นที่ที่เป็นต้นน้ำลำธารถูกบุกรุกทำลายลงเป็นจำนวนมาก



ที่ผ่านมากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้มีการบูรณาการร่วมกับทหาร ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย ในการปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการตัดไม้ทำลายป่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภารกิจเร่งด่วนในการจัดการการบุกรุกพื้นที่ของนายทุนในการปลูกยางพารา โดยในปี 2558 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตั้งเป้าหมายในการยึดพื้นที่คืนให้ได้ ดังนี้



ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตั้งเป้าหมายในการยึดพื้นที่คืนให้ได้ 90,000 ไร่ และภาคเหนือ ตั้งเป้าหมาย 142,000 ไร่ โดยพื้นที่ที่พบว่ามีการบุกรุกอย่างหนัก ได้แก่ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ น่าน เชียงราย



พลเอกดาว์พงษ์กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2558 เป็นต้นไป กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ จะได้เริ่มดำเนินการตามนโยบายพร้อมกันทั่วประเทศ และในการเข้าพื้นที่ทุกครั้งต้องมีประชาชนและผู้นำท้องถิ่นเข้าร่วมด้วยทุกครั้ง เพื่อมีส่วนร่วม พร้อมย้ำเจ้าหน้าที่ในช่วงท้ายว่า หลังจากมอบนโยบายและนำไปปฏิบัติแล้ว จะต้องไม่มีการเรียกร้องการรับผลประโยชน์จากบุคคล กลุ่มคน และนายทุนอีกต่อไป
หลังจากนั้นปฏิบัติการทวงผืนป่าด้วยการตัดต้นยางพาราตามนโยบายรัฐบาลก็เกิดขึ้นทั้งแผ่นดิน



จังหวัดพิษณุโลก แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานในพิธีเปิดยุทธการทวงคืนผืนป่าร่วมกับผู้ว่าราชการฯ,     ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11, ผบก.ภ. จว.พิษณุโลก, ผบ.พล.ร.4 ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายกับผืนป่าที่ถูกบุกรุกป่าปลูกยางพาราในเขตอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โดยสนธิกำลังฝ่ายทหาร 300 นาย กรมอุทยานฯ 600 นาย เพื่อตัดโค่นต้นยางพารา ตามกฎหมายอุทยานฯ และอ้างว่ายุทธการดังกล่าวถือเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลกำหนดแผนแม่บทแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐ โดยจังหวัดพิษณุโลกมีพื้นที่ที่ถูกบุกรุกปลูกยางพาราประมาณ 57,000 ไร่ ซึ่งจะต้องดำเนินการตัดโค่นในเขตป่าสงวนแห่งชาติและในเขตสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 11



จังหวัดสุโขทัย ป่าไม้สนธิกำลังทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครองกว่า 300 นาย เข้าตรวจสอบพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ท่าแพ หมู่ที่ 13 ต.บ้านแก่ง อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ในพื้นที่ 4 แปลง รวม 222 ไร่
เชียงใหม่ ป่าไม้พร้อมทหาร กองร้อย ตชด. ตำรวจภูธรแม่อาย กว่า 500 นาย ปฏิบัติการตัดโค่นต้นยางพารา ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก อ.แม่อาย เนื้อที่กว่า 8 ไร่ อ้างว่าเป็นการบุกรุกพื้นที่ป่า



อุบลราชธานี ผู้ว่าฯ เป็นประธานในพิธีเปิดยุทธการภารกิจทวงคืนผืนป่า ตามแผนปฏิบัติงานดำเนินการรื้อถอนพืชผลอาสินและสิ่งปลูกสร้าง ในเขตป่าพื้นที่ ต.โคกสะอาด อ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี



สุราษฎร์ธานี ป่าไม้ร่วมกับทหาร ตำรวจ รวม 300 นาย ออกปฏิบัติการทวงคืนผืนป่า ในพื้นที่ที่ถูกบุกรุกปลูกยางพาราในพื้นที่ป่า โดยเข้าตัดโค่นต้นยางพาราที่ชาวบ้านบุกรุกปลูกในพื้นที่ป่าจำนวน 6 ไร่



นี่คือปฏิบัติการทวงผืนป่าแบบมัดมือชก โดยรัฐยกกำลังของเจ้าหน้าที่ ทั้งป่าไม้ ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองเข้าไปบีบบังคับโค่นยางพาราในพื้นที่ป่าที่ชาวสวนปลูกตามนโยบายที่รัฐในอดีตส่งเสริม



การดำเนินการดังกล่าว ด้วยยุทธการทางทหาร จึงเป็นความละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของประชาชน โดยเฉพาะชาวบ้านชาวสวนที่มีฐานะยากจน หวังรายได้จากการกรีดยางเพื่อหล่อเลี้ยงครอบครัว



บางพื้นที่ เช่น กรณีบ้านแม่หลุย ต.แม่สวด อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน ป่าไม้และเจ้าหน้าที่ของรัฐบีบผู้ใหญ่บ้าน บังคับให้ชาวบ้านที่ปลูกยางพารา ตัดต้นยางทิ้งเสียเพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในอนาคต แม้ชาวบ้านจะขอร้องว่าอย่ายึดพื้นที่ เพราะหากแล้วยึดไม่รู้ว่าจะไปทำมาหากินที่ไหน และต้นยางกำลังจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว จึงขอร้องเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือ หรือหาช่องทางแก้ไข แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านอำนาจของฝ่ายรัฐได้



การดำเนินการดังกล่าว แม้ฝ่ายรัฐจะยืนยันว่าชาวบ้านปลูกยางพาราอยู่ในเขตพื้นที่ป่า แต่หลายพื้นที่พบว่าอยู่ระหว่างการเจรจาแก้ปัญหากับรัฐ และรัฐมีนโยบายส่งเสริมการปลูกยางทั้งประเทศที่ผ่านมา



อีกทั้งหากรัฐต้องการให้ชาวบ้านเปลี่ยนจากยางพารามาปลูกป่าหรือพืชอย่างอื่น รัฐก็ควรจะมีมาตรการสร้างแรงจูงใจชักชวนให้ชาวบ้านเปลี่ยนวิถีการผลิต ทั้งการเยียวยาช่วยเหลือและมาตรการอื่นๆ



ยุทธการทวงผืนป่าด้วยการโค่นต้นยางที่กระทบกับคนจนหลายพื้นที่ จึงเป็นเรื่องการดำเนินการที่ไม่แยกแยะ กลั่นกรองความแตกต่างของพื้นที่ ฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคล และความเป็นมาในอดีต
ประการสำคัญ มาตรการดังกล่าวที่กระทบกับประชาชนโดยรวม กลับไม่มีความชัดเจนในการกำหนดลักษณะการกระทำและผู้กระทำ ว่าลักษณะใดที่เข้าข่ายเป็นผู้กระทำผิดรายใหญ่ที่หวังผลการค้า ลักษณะใดเป็นการกระทำเพื่อเลี้ยงตนของคนทุกข์ อีกทั้งหลายพื้นที่ก็มีการเคลื่อนไหวเพื่อให้รัฐพิสูจน์สิทธิ์และการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้น จากรัฐบาลในอดีต และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องมาเป็นเวลานาน




ดังนั้น หากปฏิบัติการนี้ดำรงต่อไปโดยไม่แยกแยะ กลั่นกรองดังกรณีที่เกิดขึ้น ยิ่งจะทำให้สภาพปัญหามีความสลับซับซ้อนและยุ่งยาก อันอาจจะนำมาซึ่งความขัดแย้งที่มีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องทบทวงยุทธการโค่นต้นยางทวงผืนป่าบนคราบน้ำตาของประชาชน.