ผู้เขียน หัวข้อ: ลดพื้นที่ 'ยางพารา' เสริมป่าปลูกแทน  (อ่าน 799 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 87898
    • ดูรายละเอียด
ลดพื้นที่ 'ยางพารา' เสริมป่าปลูกแทน


   จากที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าและแก้ไขปัญหาการ ไร้ที่ดินทำกินของเกษตรกรผู้ยากจน ขณะเดียวกันก็เร่งฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ซึ่งกระทรวงทรัพยากรฯ สั่งการให้กรมป่าไม้ในฐานะผู้รับผิดชอบดูแลป่าสงวนแห่งชาติจัดทำขึ้น ไม่เพียงการบุกรุกจากสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น แต่การบุกรุกพื้นที่ป่าด้วยการปลูกยางพาราก็เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญที่ รัฐบาล โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะต้องเร่งเข้ามาดูแลแก้ไขก่อนจะเกิดปัญหาลุกลามบานปลายจนยากที่จะเยียวยา โดยแนวทางดำเนินการนั้นจะมุ่งไปที่ยึดคืนพื้นที่ต้นน้ำ-ป่าโซน ซี ซึ่งได้แก่ ป่าต้นน้ำลำธารและพื้นที่ป่าอนุรักษ์ หรือป่าโซน ซี หรือพื้นที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดิน น้ำ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์หายาก ฯลฯ โดยรัฐจะยึดพื้นที่คืนและจะตัดโค่นยางพาราทั้งหมดเฉพาะในส่วนพื้นที่ที่มี การดำเนินคดีสิ้นสุดแล้ว จากนั้นจะฟื้นสภาพป่าให้กลับมาเป็นแหล่งต้นน้ำเพื่อป้องกันรักษาสิ่งแวดล้อม ให้มีสภาพดังเดิม

 ในขณะที่การบุกรุกปลูกยางพาราในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3, 4 และ 5 ที่มีความลาดชันต่ำ บางส่วนจะเปิดให้ชุมชน สหกรณ์หมู่บ้าน หรือหน่วยงานปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ อย่างองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เข้าทำประโยชน์ตามกฎเกณฑ์เงื่อนไขที่กรมป่าไม้กำหนด โดยดำเนินการภายใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และพ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 ซึ่งสวนยางพาราที่บุกรุกปลูกในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 ชั้น 2 และป่าอนุรักษ์โซน ซี หากต้นยางมีอายุปลูก 1-3 ปี จะใช้มาตรการตัดโค่นทิ้งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ปลูกแปลงเล็กหรือแปลงใหญ่ เพื่อปลูกป่าทดแทนฟื้นฟูสภาพแหล่งต้นน้ำ หากต้นยางอายุ 4 ปีขึ้นไป หรือเติบโตพอจะสามารถกรีดน้ำยางได้แต่ไม่เกิน 20 ปีจะทยอยตัดทั้งหมดพร้อมปลูกไม้ยืนต้นเสริมแล้วฟื้นฟูสภาพป่าเหมือนกับแนว ทางแรก แต่สำหรับไม้ที่โตเกิน 20 ปีจะไม่มีการตัดโดยเด็ดขาด

 "ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าอยู่ 102 ล้านไร่ จากพื้นที่ของประเทศทั้งหมด 320 ล้านไร่ และมีความคิดว่าเราต้องมีพื้นที่ป่าประมาณ 40% ประมาณ 128 ล้านไร่ เหลือพื้นที่ที่อยากได้มาเป็นป่าประมาณ 26 ล้านไร่ ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่มีการบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์โดยมิชอบ จึงมีแผนทวงคืนผืนป่าเป็นที่สงสัยของสังคมว่าต้นยางพาราทำไมจึงต้องตัดทำลาย เราไม่ได้ตัดทั้งหมด แต่เราตัดให้เหมาะสมกับระบบนิเวศความลาดชันของพื้นที่ อายุน้อยกว่า 4 ปีตัดทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนกลับมาใช้ในพื้นที่ เราจึงจำเป็นต้องตัดและต้องรีบส่งเสริมฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพป่าทั้งภาครัฐ และเอกชน ตั้งแต่ปี 2557 เราปลูกไปแล้ว 230,000ไร่ ที่เราทวงคืนมา 280,000 ไร่ไม่ใช่แปลงเดิมแต่จะเป็นแปลงเก่า เราจึงค่อยทยอยปลูกตั้งเป้าให้ได้ 400,000 ไร่ ภายในระยะเวลา 4 ปี"

 พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ข้อมูลพร้อมแจงราย ละเอียดหลักการโค่นยางพาราทิ้งเพื่อฟื้นฟูสภาพป่านั้น โดยมีการตัดแบ่งต้นยางพาราออกเป็น 3 ประเภท กล่าวคือต้นยางที่โตไม่เกิน 4 ปี จะตัดทำลายทั้งหมดเพื่อไม่ให้เติบโตต่อไป แต่ถ้าเป็นต้นยางอายุ 4-20 ปี จะตัดออกประมาณ 60% โดยตัด 2 แถวเว้น 3 แถว เพื่อจะปลูกไม้ยืนต้นที่เป็นไม้ป่าเสริมเข้ามาเพื่อให้กลับคืนสภาพป่ามาให้ ได้ แต่สำหรับต้นยางพาราที่โตเกิน 20 ปีจะไม่มีการตัดโดยเด็ดขาดแต่จะทำเป็นพื้นที่ป่า ซึ่งการยึดคืนพื้นที่ยางพาราหากเป็นของผู้มีอิทธิพลก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย แต่หากเป็นของชาวบ้านคนยากจนในส่วนที่ไม่มีที่ทำกินเป็นผู้ยากไร้เข้าไปทำ กินในพื้นที่ป่าก็จะมีขั้นตอนในการดูแล 2 แนวทาง ประการแรกพื้นที่ในป่านั้นมีประโยชน์หรือไม่สามารถทำมาหากินได้อยู่ก็จะ ผ่อนผันให้สามารถใช้ประโยชน์จากป่าอย่างชั่วคราว ประการที่สอง หากมีพื้นที่ดินที่จัดสรรให้ราษฎรได้ชั่วคราวก็จะจัดสรรทันทีและรัฐบาลจะให้ การดูแลเป็นอย่างดี

 "หลายพื้นที่ยังไม่มีการตัดเพราะประชาชนต้องทำกินเราก็ผ่อนผันให้ และเพื่อประกันความมั่นใจ กระทรวงทรัพย์ฯ ได้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กรณีพิพาทการใช้ที่ดินในพื้นที่ป่า สงวนแห่งชาติระดับจังหวัดก็ให้ คสช.จังหวัดผ่านศูนย์ดำรงธรรม และระดับภาคให้ กอรมน.ภาคทางฝ่ายทหารเข้ามาช่วยเพื่อเป็นช่องทางให้ประชาชนร้องทุกข์ได้ถ้า รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนกระทรวงทรัพยากรจะดำเนินการใน 2 ส่วน คือให้คนยากจนดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุขและรับเรื่องราวร้องทุกข์ เพื่อถ่วงดุลกับการทำงานของเจ้าหน้าที่" พล.อ.สุรศักดิ์กล่าวและย้ำว่า ขณะนี้ประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกยางพารามากเกินไปจนทำให้ราคายางตกเป็นธรรมดา ซึ่งสอดรับกับราคายางในตลาดโลกที่ตกอยู่แล้ว เนื่องจากมีการผลิตยางสังเคราะห์ขึ้นมาทดแทนเพิ่มมากขึ้นดังนั้นใครคิดทำยาง ต่อไปในอนาคตคงไม่สดใส แต่รัฐบาลพยายามหาพืชชนิดใหม่ๆ เข้ามาทดแทน โดยกระทรวงเกษตรเริ่มส่งเสริมพืชใช้น้ำน้อยหรือพืชที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ อย่างพืชบนพื้นที่สูง เช่น กาแฟและอีกหลายชนิดซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ

 ส่วนการปลูกป่าเสริมในพื้นที่เดิมกรมป่าไม้เป็นผู้ดำเนินการ ในขณะพื้นที่ป่าถูกทำลายก็จะส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้าดำเนินการในรูปแบบสวน ป่า โดยส่งเสริมให้มีป่าปลูก ซึ่งจะได้พื้นที่และมีการหมุนเวียนการทำไม้โดยไม่ต้องไปยุ่งกับป่าอนุรักษ์ ขณะเดียวกันรัฐบาลก็กำลังดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบการใช้ระบบเทคโนโลยี เข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้ง่ายขึ้นและการทำงานสะดวกขึ้น

 "ในพื้นที่การปลูกข้าวโพดก็พยายามสร้างจิตสำนึกก่อนว่าปลูกแค่พออยู่พอกิน เพราะเมื่อราคาข้าวโพดตกต่ำก็ต้องบุกรุกป่าเพิ่มเพื่อให้ได้เงินเท่าเดิม นี่คือวงจร ถ้าไม่ปลูกข้าวโพดจะดำรงชีวิตอยู่อย่างไร เป็นสิ่งที่กำลังศึกษา เราไม่ถึงกับไล่อย่างเอาเป็นเอาตายเพราะประชาชนต้องมีชีวิตอยู่ ทำอย่างไรให้เขามีชีวิตอยู่ได้ มองอนาคตคนอยู่ร่วมกับป่าได้อย่างยั่งยืน" รมว.ทรัพยากรฯ กล่าวทิ้งท้าย

 มาตรการแก้ไขปัญหาการบุกรุกปลูกยางพาราในพื้นที่ต้นน้ำ-ป่าโซน ซี และพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3, 4 และ 5 ที่มีความลาดชันต่ำของรัฐบาล นอกจากตัดโค่นต้นยางพาราทิ้งพร้อมปลูกไม้ยืนต้นทดแทนเพื่อฟื้นฟูสภาพป่าให้ กลับมาเหมือนเดิมแล้วยังพร้อมให้การดูแลชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบ พร้อมส่งเสริมอาชีพให้พวกเขามีรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วย

 (ทำมาหากิน : เร่งมาตรการทวงคืนผืนป่าอนุรักษ์ ลดพื้นที่ 'ยางพารา' เสริมป่าปลูกแทน : โดย...ทีมข่าวเกษตร)
     
 เว็บไซต์คมชัดลึก (Th)