ผู้เขียน หัวข้อ: ยางพารา กับ คนใต้ และวัฒนธรรมการเมืองแบบใต้ๆ  (อ่าน 731 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 87860
    • ดูรายละเอียด
ยางพารา กับ คนใต้ และวัฒนธรรมการเมืองแบบใต้ๆ

ตัวผมเองเกิดและเติบโตในยุคที่ปักษ์ใต้เฟื่องฟูด้วยเศรษฐกิจ "ยางพารา" ทั่วเทือกทิวเขาและที่นาเก่าต่างสมบูรณ์ไปด้วยพืชยืนต้นเขียวขจี กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางหัวบันไดไม่เคยแห้ง ใครมีที่ดิน 5 ไร่ขึ้นไปเป็นต้องปลูกยาง เพราะพิสูจน์แล้วว่าน้ำยางยุคนั้นสร้างคนให้ร่ำรวย ส่งลูกหลานไปเรียนไกลถึงเมืองหลวงและเมืองนอก สร้างคหบดีใหญ่ สร้างตำรวจ สร้างทนายความ สร้างนายอำเภอขึ้นมากมาย

 
 คนใต้ใหญ่โตโอ่อ่าเพราะยางพารา ถือเงินสดเป็นฟ่อนไปถอยรถป้ายแดงโดยไม่ง้อไฟแนนซ์ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ด้อยกว่าคนกรุงเทพฯ เลยแม้แต่น้อย แต่ยางพาราอีกนั่นแหละที่ทำให้คนใต้มีรูปแบบความคิดทางการเมืองเฉพาะที่แตก ต่างไปจากคนไทยทั่วไป

 
 ต้น ทศวรรษที่30มีนโยบาย"อีสานเขียว"เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งคนบ้านผมเอ่ยเล่นๆว่า ถ้าอยากเขียวจริงต้องเอายางไปปลูกสิเพราะภาคใต้ยุคนั้นเขียวมาก ยางพาราขึ้นดกดื่นขนาดไม่มีที่โล่งให้มองดาวด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนตอนที่อีสานได้รับการสนับสนุนให้ปลูกยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจ คนใต้ทั่วไปเกิดความรู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก เพราะยางพาราถูกทำให้เข้าใจกันว่า เป็นพืชประจำถิ่นปักษ์ใต้ ปลูกที่ไหนก็ไม่ขึ้น แต่ลืมไปว่า สุดท้ายนักปรับปรุงพันธุ์ยางปรับแต่งพันธุ์จนงอกงามบนแผ่นดินแห้งแล้งทาง อีสานได้ แม้จะต้นเล็กกว่า ความเข้มข้นของน้ำยางน้อยกว่า แต่ก็ให้ผลดี

 
 คนใต้ที่พอมองอนาคตออก เริ่มกังวลนับตั้งแต่ต้น เพราะเศรษฐกิจยางพาราที่ปักษ์ใต้เคยมีอำนาจต่อรองสูงมาหลายสิบปี รัฐเริ่มเข้ามาแทรกแซง รัฐบาลไหนที่เสนอนโยบายขยายพื้นที่เพาะปลูกยางพาราไปสู่ภาคอื่น คนใต้ไม่ค่อยชอบหรอก เพราะกลัวว่าผลผลิตที่มากเกินไปมันจะฉุดราคาให้ต่ำลง

 และนักการ เมืองปักษ์ใต้เองก็รู้ว่าคนใต้อ่อนไหวกับยางพารายางจึงถูกเอามาใช้เป็นนโน บายสำคัญของการหาเสียงทุกยุคสมัยหากใครขึ้นปราศรัยไม่พูดเรื่องยาง(ให้ถูก ใจ)คืนนั้นก็เหมือนไม่ได้ปราศรัยอะไรเลยเพราะคนรอฟังแค่นั้น
 
 จริงๆ ยุคยี่สิบสามสิบปีก่อนไม่ต้องปราศัยเรื่องยางพาราก็ได้เพราะเหมือนเสือนอน กินอยู่แล้วความต้องการในประเทศขยายตัวแต่การผลิตเท่าเดิม เพียงแต่ยุคยี่สิบปีหลังนี่เอง หลังจากพื้นที่ปลูกยางในประเทศและต่างประเทศขยายตัว ความต้องการซื้อและผลผลิตเริ่มไม่สมดุลกันแต่ละปี นโยบายยางพาราจึงกลายเป็นจุดสนใจ และคนใต้เองก็เริ่มรู้สึกไม่มั่นคง (แม้ว่าจะมีปาล์มน้ำมัน -พืชเศรษฐกิจใหม่เข้ามาเบียดแทรกพื้นที่เพาะปลูกยางพารา แต่ก็อยู่ในสถานะเดียวกัน คือขึ้นอยู่กับตลาดโลก)เพราะคิดมาตลอดว่า เรื่องยางพาราเป็นเรื่องของคนใต้ เป็นเรื่องสำคัญ รัฐบาลต้องใส่ใจ เพราะนี่เป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ

 
 ยุค 30 ปีก่อนยังไม่มีการซื้อขายน้ำยาง ยังไม่มีโรงงานรับซื้อน้ำยางดิบไปผลิตยางแท่ง คนปักษ์ใต้จะกรีดยางเพื่อผลิตยางแผ่นรีด และขี้ยาง คนมีสวนเยอะทำยางแผ่น ทั้งกรีดเองและจ้างคนอีสานมาเป็นคนงาน(นั่นทำให้คนใต้รู้สึก "เหนือกว่า" คนอีสานมาตั้งแต่ตอนนั้น เพราะช่วงปี2520-2530 ภาคอีสานประสบปัญหาภัยแล้งต่อเนื่องยาวนาน แรงงานอีสานจำนวนมากทิ้งที่นาสมัครเข้าโรงงานในภาคกลาง บางส่วนอพยพลงไปภาคใต้ที่อุดมสมบูรณ์กว่า ไปเป็นลูกจ้างสวนยางพารา คนอีสานจำนวนไม่น้อยในปัจจุบันเอาต้นทุนความรู้การทำสวนยางจากภาคใต้กลับไป สร้างความมั่งคั่งบนแผ่นดินเกิด

 
 แต่ คนใต้ยังติดภาพเก่าก่อนที่รู้สึกว่าคนอีสานเป็นเพียงแรงงานอพยพราคาถูกอยู่ ง่ายกินง่ายเหมือนที่ตาลุงคนใต้คนหนึ่งพูดในที่ชุมนุมม๊อบสวนยางเกี่ยวกับ วัฒนธรรมการกินที่มีแค่น้ำปลาก็กินข้าวได้เพราะแกติดภาพจากครัวเรือนแรงงาน อีสานอพยพในยุคนั้นซึ่งมันก็จริงเพราะคนอีสานยุคนั้นมากับความแร้นแค้นจึง ต้องปรับตัวแต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนสิบกว่าปีให้หลังตอนราคายางถีบตัวพุ่งพรวด คนอีสานจอดรถกระบะป้ายแดงในกงสี(บ้านพัก) ของนายจ้าง และอำนาจต่อรองสูงขึ้น เพราะนายจ้างก็กรีดยางเองไม่เป็น

 
 สุดท้ายหลังจากนโยบายขยาย พื้นที่เพาะปลูกทางภาคเหนือและอีสานสำเร็จคนอีสานส่วนใหญ่ทยอยกลับบ้านนาย จ้างคนใต้ขาดแคลนคนงานสวนยางอยู่พักใหญ่กระทั่งต้องมุ่งไปหาแรงงานต่างด้าว เอารถกระบะไปขนกันมาจากทางระนองซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นแรงงานผิดกฎหมายแต่ค่าแรง ถูกกว่าคนอีสานมาก)
 
 ส่วนคนมีสวนยางน้อยก็ทำขี้ยางกรีดสะสมในกะลาหรือถ้วยรองไว้พอเต็มถ้วยก็แคะ ไปขาย ราคาต่ำกว่ายางแผ่นรีด แต่ก็ลงแรงน้อยกว่า ถือว่าคุ้ม คนกลุ่มนี้แม้จะมีฐานะทางเศรษฐกิจด้อยกว่าคนกลุ่มแรก แต่มีความเป็นปัจเจกสูง ทำเองลงแรงเอง ปลูกขนำในสวนยาง มีวิถีและรูปแบบความคิดเฉพาะตน แม้จะดูขาดความกระตือรือร้นทางการเมืองไปบ้าง

 
 ยุคที่เขาขยายพื้นที่เพาะปลูกไปทางอีสานและภาคเหนือ กำลังตั้งไข่สหกรณ์เพื่อรับซื้อผลิตผลยางพารากันอย่างแพร่หลาย คนใต้หลายคนถูกเชิญไปเป็นที่ปรึกษา ไปให้ความรู้เรื่องการบริหารจัดการเพราะมีประสบการณ์ ตอนนั้นก็โอ่อ่ากันมาก รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ อย่างไรเสียภูมิปัญญาการเพาะปลูกและบริหารจัดการวงจรธุรกิจยางก็ยังอยู่กับ คนใต้
 
 คน ใต้ส่วนหนึ่งฉีกวิธีคิดเดิมทิ้งพอในประเทศเริ่มตันเพราะที่ดินสปก.ก็หมดแล้ว ภูเขาก็รุกจนเหี้ยนไม่มีเหลือกฎหมายป้องกันบุกรุกที่ดินเริ่มบังคับใช้ รุนแรงจึงเสาะหาพื้นที่เพาะปลูกยางใหม่บางคนบินไปไกลถึงแอฟริกา กลายเป็นเศรษฐีจนถึงทุกวันนี้

 
 แต่นั่นก็ส่วนน้อย ...ส่วนใหญ่ยังยึดติดภาพอยู่เหมือนเดิม น้ำยางเป็นเลือดของคนใต้ และนักการเมืองที่เคยตั้งสหกรณ์ควบคุมเกษตกรชาวสวนยางและสวนปาล์มไว้ในกำมือ แต่ยังมีธุรกิจขนาดใหญ่และพื้นที่การเมืองของตัวเอง ก็ยังทำให้คนเใต้ยึดติดกับกรอบจินตนาการเช่นเดิม

 
 "สวนยางเป็นของคนปักษ์ใต้" จึงยังใช้ยางพาราเป็นตัวประกันทางการเมือง สร้างอำนาจต่อรองให้คนใต้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว หนึ่งคือชัยชนะทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ อีกหนึ่งคือคนใต้เหล่านั้นกลายเป็นมวลชนในฐานอำนาจการเมืองระดับชาติโดย อัตโนมัติ

 
 อหังการ์ ของคนใต้และโลกทัศน์เก่าที่เคยสร้างคนใต้ให้เป็นพวกเห็นแก่ตัวยกตัวโอ่อ่า รักแต่พวกพ้องเพื่อนฝูงสร้างวาทกรรมหลอกๆอย่างใจถึงพึ่งได้ไม่รบนาย ไม่หายจน เพื่อยกตัวว่าสูงส่งและใจใหญ่ ยึดติดว่าตัวเองกินดีอยู่ดีกว่าชาวบ้านภูมิภาคอื่น เพราะทรัพยากรดีกว่า เศรษฐกิจดีกว่า สร้างลูกหลานเป็นนายร้อย นายอำเภอมามากมาย
 

 ทั้งหมดกลายเป็นโรคร้ายที่กำลังกลืนกินตัวเองในปัจจุบัน และกำลังแปลกแยก โดยไร้อาทรจากเพื่อนร่วมชาติ ในยามที่เศรษฐกิจยางพารากำลังเกิดวิกฤตอันมีต้นเหตุมาจากปัจจัยภายนอก
 
 บาง ทีคนใต้เองก็ไม่ทันได้คิดหรอกว่านอกจากน้ำยางจะสร้างนายร้อยนายอำเภอทนาย ความขึ้นมาประดับประดาแผ่นดินให้ดูรุ่มรวยกว่าชาวบ้านเขาแล้วยังได้สร้าง นักการเมืองที่มีวิธีคิดและวัฒนธรรมทางการเมืองอันแปลกแยกจากวิถี ประชาธิปไตยขึ้นมาด้วย

 
 "พรรคนั้นเอาเสาไฟฟ้าลงคนก็เลือก"สำนวนที่ นักการเมืองด้วยกันตัดพ้อตอนที่พยายามสร้างทางเลือกใหม่ให้คนใต้แต่นักการ เมืองพรรคใหญ่พรรคนั้นกลับหัวเราะชอบใจเพราะเท่ากับคนใต้เป็นลูกไก่ในกำมือ เรียบร้อยแล้ว

 
 นั่นแหละคือความคิดของนักการเมืองคนใต้ที่ยึดกรอบ จินตนาการเดิมปราดเปรื่องและเอกอุด้านวาทศิลป์เอาตัวรอดเก่งมุ่งสร้างกระแส สำนึกภูมิภาคนิยมเป็นเกราะกำบังทางการเมือง และสร้างผลประโยชน์ให้ตนเอง
 
 ขณะที่คนใต้ก็ตกเหยื่อโดยไม่เคยรู้ตัว.

ที่มา : มติชนออนไลน์ (วันที่ 13 มกราคม 2559)