ผู้เขียน หัวข้อ: "บิดาการยางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน" ก่อกำเนิดจากภาคใต้ประเทศไทยที่ "ชุมชนยางนาบอน"! / ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที  (อ่าน 857 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 87888
    • ดูรายละเอียด
"บิดาการยางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน" ก่อกำเนิดจากภาคใต้ประเทศไทยที่ "ชุมชนยางนาบอน"! / ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที

โดย MGR Online
26 มกราคม 2559 14:58 น. (แก้ไขล่าสุด 26 มกราคม 2559 15:15 น.)


โดย...ยุทธิยง  ลิ้มเลิศวาที

         
        ผมตั้งใจเขียนเรื่องนี้เพื่อเล่าเรื่องราวพัฒนาการของการเติบโตของวง การยางพาราจีนกับไทย ในวันที่จีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด และเป็นประเทศที่ซื้อยางจากไทยไปใช้มากที่สุด
         
        ในปี 2557 มีข้อมูลว่าไทยส่งยางออกไปต่างประเทศ 3,770,649 ตัน เฉพาะจีนประเทศเดียวซื้อยางจากไทยถึง 2,142,199 ตัน โดยไทยส่งยางไปขายญี่ปุ่น สหรัฐฯ ยุโรป เกาหลี และอินเดียด้วย แต่จีนประเทศเดียวดูดซับยางจากไทยประมาณ 57% ของปริมาณการส่งออกทั้งหมด
         
        ผมจึงตั้งใจเล่าเรื่องนี้ก็เพื่อให้คนไทยที่สนใจในอุตสาหกรรมวงการยางพาราไทย ได้มีความรู้ และความภูมิใจเกิดขึ้นบ้าง!
         
        อย่างน้อยๆ เพื่อให้พ่อค้ายางไทยที่ส่งไปขายจีนได้พูดคุยกับคนพ่อค้าจีนว่า เราทั้ง 2 ประเทศมีความผูกพันกันอย่างแยกไม่ออก ความภูมิใจของจีนนั้นก่อกำเนิดขึ้นจากแผ่นดินไทย หรืออย่างน้อยเมื่อยามรัฐบาลไทยไปเจรจาการค้ากับจีน การพูดคุยในทางการทูต และทางการค้าในเรื่องยางน่าจะพูดได้เต็มปากว่า
         
        ?เมล็ดพันธุ์แห่งการก่อกำเนิดอุตสาหกรรมสวนยางในประเทศจีน คือ คนที่ไปจากประเทศไทย ชุมชนชาวสวนยางจากอำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นถิ่นฐานบรรพชนของชาวจีนโพ้นทะเล..ฮกจิว?
       
        เอกสารที่สมาคมคนจีนในอำเภอนาบอนใส่กรอบประกาศไว้ว่า
         
        ?เฉินเออกุ่น? หรือออกเสียงเป็นภาษาฮกจิว หรือภาษาจีนฟุโจวว่า ?ติ่งอี้คุ้ง?
         
        ท่านเกิดเมื่อปี ค.ศ.1892 (พ.ศ.2435) และเสียชีวิตปี ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) รัฐบาลจีนได้ประกาศให้ท่านคือ...
       
        ?บิดาการยางของสาธารณรัฐประชาชนจีน?


ในปี ค.ศ.1958 (พ.ศ.2501) ?ติ่งอี้คุ้ง? ท่าน ได้รับการต้อนรับจากนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล ในฐานะผู้นำชาวจีนโพ้นทะเลที่ทำคุณประโยชน์ต่อมาตุภูมิ และมีชื่อจารึกไว้ในพิพิธภัณฑ์ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ว่า ท่านเกิดที่อำเภอกู่เถียน จังหวัดฟุโจว มณฑลฮกเกี้ยน
         
        ท่านเดินทางจากบ้านเกิดเข้าสู่ชุมชนคนจีนโพ้นทะเลหมู่บ้านซิเตีย หวั่น (Sitiawan) ซึ่งเป็นชุมชนแหล่งที่อยู่ของคนจีนฮกจิว เป็นแหล่งปลูกยางพารามากในรัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย
         
        ปี ค.ศ.1928 (พ.ศ.2471) ?ติ่งอี้คุ้ง? เมื่ออายุ 36 ปี ได้พาครอบครัวจากซิเตียหวั่น รัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย มาตั้งถิ่นฐานที่อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อทำสวนยาง เพราะรัฐบาลไทยช่วงนั้นมีนโยบายส่งเสริมเปิดป่า ชักชวนคนจีนให้มาลงทุนเปลี่ยนผืนป่าให้เป็นพื้นที่เกษตรกรรมสวนยาง ในยุคของการสร้างชาติใหม่ เพื่อพัฒนาเขตป่าเส้นทางรถไฟสายใต้ให้เป็นพื้นที่การเกษตร
         
        ?ติ่งอี้คุ้ง? ท่านมีความเป็นผู้นำ เมื่อชุมชนคนจีนฮกจิวขยายตัวขึ้นเป็นชุมชนใหญ่ มีคนจีนอพยพมาอยู่กันมากขึ้นเพื่อทำสวนยาง ลูกหลานเยาวชนก่อกำเนิดขึ้น ท่านจึงรวบรวมคนจีนในชุมชนให้ก่อตั้งโรงเรียน เพื่อให้เยาวชนได้เรียนรู้หนังสือ ชื่อ ?โรงเรียนจงหัว? ปัจจุบัน คือ ?โรงเรียนสหมิตรบำรุง?
         
        ในปี ค.ศ.1937(พ.ศ.2480) เมื่อกิจการของชาวจีนที่ตลาดนาบอนมีความก้าวหน้ามั่นคงขึ้นเป็นลำดับ จึงได้มีการวางแผนเพื่อขยายพื้นที่การปลูกยางไปลงทุนที่เกาไหหลำ อาจจะด้วยเหตุผลภายในประเทศไทยที่บีบรัดด้วยนโยบายชาตินิยมยุคนั้น แต่ปี ค.ศ.1938 (พ.ศ.2481) ด้วยเพราะติดเงื่อนไขของสงคราระหว่างจีนกับญี่ปุ่น แผนการลงทุนบุกเบิกเปิดพื้นที่ปลูกยางบนเกาะไหหลำจึงหยุดชะงักลง
         
        หลังสงครามโลกสิ้นสุด ในปี ค.ศ.1950 (พ.ศ.2493) ?ติ่งอี้คุ้ง? ได้ ไปสำรวจที่เกาะไหหลำอีกครั้ง มีประสานงานกับรัฐบาลท้องถิ่น และบรรลุข้อตกลงในการลงทุน ท่านจึงได้ก่อตั้งบริษัท โดยระดมเงินทุนจากเพื่อนชาวจีนฮกจิวในชุมชนนาบอนกว่าร้อยคน ก่อตั้ง ?บริษัท หัวเฉียวชิงหมิงยางพารา จำกัด? บุกเบิกการปลูกยางพาราขึ้นในประเทศจีน ผ่านความยากลำบากแสนเข็ญ จนต้นยางเขียวชอุ่มในแผ่นดินจีน
         
        ปี ค.ศ.1953 (พ.ศ.2495) บริษัท หัวเฉียวชิงหมิงยางพารา จำกัด ได้ร่วมลงทุนกับบริษัทหัวเฉียวของมลฑลกวางตุ้ง และในปี ค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) รัฐบาลได้โอนบริษัทนี้เข้าเป็นรัฐวิสาหกิจจีน พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น?ศูนย์เกษตรกรรมซันเต้าหัวเฉียว?
         
        ช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน ค.ศ.1966-1976 (พ.ศ.2509-2519) ?ติ่งอี้คุ้ง? ได้ รับผลกระทบอย่างสูงในช่วงนี้ เพราะท่านเป็นนักการเกษตรที่มีทุนรอนไปจากประเทศไทย ถูกกล่าวหาว่า เป็นนายทุน โดยเฉพาะได้รับผลกระทบต่อร่างกายอย่างมาก แต่ท่านก็ยังยืนหยัดที่จะอยู่ในประเทศจีน ทั้งๆ ที่ลูกสาวได้เดินทางจากกรุงเทพฯ เพื่อไปชักชวนคุณพ่อให้กลับมาอยู่ที่เมืองไทยด้วยกัน ท่านก็ปฏิเสธยืนยันว่าจะขอใช้ชีวิตที่บ้านเกิดที่อำเภอกู่เถียน
         
        และในปี ค.ศ.1978 (พ.ศ.2521) รัฐบาลจีนก็ได้ให้ท่านกลับบ้านเกิด ถิ่นฐานที่ท่านจากมาที่อำเภอกู่เถียน และในอีก 2 ปีต่อมา ท่านก็เสียชีวิตที่บ้านเกิดกู่เถียน


โดยรัฐบาลของเติ้งเสี่ยวผิง ได้ประกาศกอบกู้คุณงามความดีของท่านเอาไว้ว่า?
       
        ?ติ่งอี้คุ้ง ได้ทุ่มเทเสียสละมาตลอดชีวิต มีจิตใจรักชาติแผ่นดินอย่างแรงกล้า จนสามารถปลูกยางพาราเป็นปึกแผ่นขึ้นในแผ่นดินจีน เพื่อประกาศต่อมาตุภูมิแผ่นดินจีน ขอบคุณที่สร้างความรุ่งเรือง จะจารึกชื่อไว้มิรู้ลืม?
         
        สิ่งที่บอกเล่ามานี้ ผมคิดว่าเป็นพัฒนาของวงการอุตสาหกรรมยางพาราไทย ซึ่งประเทศไทยมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงผูกพันกับประเทศสาธารณรัฐประชาชน จีนอย่างแนบแน่น
         
        จากอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ของประเทศไทย ได้มีส่วนก่อกำเนิด ?บิดายางพาราของจีน? ขึ้นมาในที่สุด
       
        เมื่อเรามองเห็นพัฒนาการของการเติบโตวงการอุตสาหกรรมยางพาราแล้ว กาลเวลาได้นำพาสังคมไทยผ่านมาถึงวันนี้
         
        วันที่ประเทศไทยปลูกยางพารามากกว่า 22 ล้านไร่ ผลผลิตของยางพาราออกมาประมาณ 4.5 ล้านตันต่อปี และมีอัตราผลผลิตยางพาราต่อไร่ต่อปีอยู่ที่ 263 กิโลกรัม


----------------------------------
        ขอบคุณ ?ครอบครัวอี้คุ้งปะ? ในประเทศไทยที่อำนวยความสะดวกเรื่องรูปภาพ และ ?หงูมินเต๊อะ? ที่ดูแลความถูกต้องภาษาจีน

ดูภาพได้ที่ : https://www.facebook.com/RakayangDotCom/




 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 26, 2016, 08:39:06 PM โดย Rakayang.Com »