ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ข่าวหุ้น-การเงิน 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563  (อ่าน 867 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 89886
    • ดูรายละเอียด

***ราคาน้ำมันขึ้นเล็กน้อย นักลงทุนเห็นสัญญาณบวกศก.สหรัฐ

26 มิถุนายน 2563 กรุงเทพธุรกิจ
ราคาน้ำมันขยับขึ้นเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี (25 มิ.ย.) หลังนักลงทุนเห็นสัญญาณทางบวกเล็กน้อยเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐ

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส งวดส่งมอบเดือน ก.ค. ตลาดหุ้นนิวยอร์ก เพิ่มขึ้น 71 เซนต์ ปิดที่ 38.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ งวดส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 74 เซนต์ ปิดที่ 41.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ในช่วงแรก ตลาดน้ำมันแกว่งตัวสู่แดนลบ แต่จากนั้นก็ดีดตัวสู่แดนบวก หลังมีการเผยข้อมูลว่า ชาวอเมริกันยื่นขอรับสวัสดิการคนว่างงานน้อยลงในสัปดาห์ที่แล้ว

นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลของ "ทอมทอม" บริษัทเทคโนโลยี ที่ระบุว่า ปริมาณการใช้รถใช้ถนนตามเมืองใหญ่ของโลกบางแห่งได้กลับสู่ระดับของปี 2562 แล้ว หลังเมืองเหล่านั้นผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์สกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19

***ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $4.5 เหตุเงินดอลล์แข็งกดดันตลาด
          สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) เนื่องจากการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดทองคำ อย่างไรก็ดี สัญญาทองคำปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากข้อมูลแรงงานที่ซบเซาของสหรัฐทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งยังคงเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. ลดลง 4.5 ดอลลาร์ หรือ 0.25% ปิดที่ 1770.6 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 22.5 เซนต์ หรือ 1.27% ปิดที่ 17.895 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.9 ดอลลาร์ หรือ 0.24% ปิดที่ 802.7 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 43.40 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 1,845.10 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.29% สู่ระดับ 97.4380 เมื่อคืนนี้
          ทั้งนี้ ดอลลาร์ที่แข็งค่าจะทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้น และมีความน่าดึงดูดน้อยลงสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น
          อย่างไรก็ดี นักลงทุนส่วนหนึ่งยังคงเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.48 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.35 ล้านราย
          ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 14 แม้ว่ารัฐต่างๆได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และได้เปิดเศรษฐกิจครั้งใหม่
          นายพอล เซียนา นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา คาดการณ์ว่า ราคาทองจะพุ่งขึ้นทดสอบ 1,790-1,805 ดอลลาร์/ออนซ์ในสัปดาห์หน้า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของปี 2555 และหากสามารถทะลุแนวต้าน 1,800 ดอลลาร์ ราคาทองก็จะมีเป้าหมายต่อไปที่ 1,920.70 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้ในปี 2554
          นอกจากนี้ นายเซียนากล่าวว่า ราคาทองมีแนวโน้มแตะระดับ 2,000 ดอลลาร์ โดยมีอัพไซด์อยู่ที่ 2,114-2,296 ดอลลาร์

***ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 299.66 จุด หุ้นแบงก์พุ่งรับข่าวสหรัฐผ่อนคลายข้อกำหนดการลงทุน
          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเกือบ 300 จุดเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนรุกซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร หลังจากรัฐบาลสหรัฐประกาศผ่อนคลายข้อกำหนดการลงทุนสำหรับภาคธนาคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เตรียมเปิดเผยผลการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ของธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐ
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,745.60 จุด เพิ่มขึ้น 299.66 จุด หรือ +1.18% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,083.76 จุด เพิ่มขึ้น 33.43 จุด หรือ +1.10% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,017.00 จุด เพิ่มขึ้น 107.84 จุด หรือ +1.09%
          หุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น หลังจากคณะกรรมการประกันเงินฝากของรัฐบาลกลางสหรัฐ (FDIC) ประกาศผ่อนคลายข้อกำหนดจาก Volcker Rule โดยจะอนุญาตให้ธนาคารสหรัฐสามารถทำการลงทุนได้มากขึ้น และได้รับการยกเว้นจากการสำรองเงินสดสำหรับการซื้อขายตราสารอนุพันธ์ระหว่างบริษัทในเครือ โดยการผ่อนคลายข้อจำกัดดังกล่าวจะทำให้ธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐสามารถเข้าลงทุนในกองทุนร่วมลงทุน (venture capital) หรือกองทุนอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน
          ทั้งนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 4.6% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ทะยานขึ้น 4.8% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดีดขึ้น 3.8% หุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่งขึ้น 3.5% หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 3.68% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 3.92% หุ้นแบล็คร็อค บวก 1.56%
          เฟดมีกำหนดเปิดเผยผล Stress Test ของธนาคารพาณิชย์สหรัฐหลังจากตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการซื้อขายในวันพฤหัสบดี โดยการทดสอบดังกล่าวเป็นการประเมินว่า มีความปลอดภัยหรือไม่ที่ธนาคารต่างๆ จะดำเนินการตามแผนการใช้จ่ายเงินทุน ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินปันผล และการใช้จ่ายอื่นๆนอกเหนือจากการตั้งสำรองหนี้เสีย โดยการทดสอบดังกล่าวได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เงินภาษีของประชาชนมาช่วยเหลือธนาคารต่างๆเหมือนในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินปี 2550-2552
          หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน WTI ที่ฟื้นตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับตัวขึ้น 1.5% หุ้นเชฟรอน บวก 1.8% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 4.8% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม พุ่งขึ้น 2.9% หุ้นเชซาพีค เอนเนอร์จี  พุ่งขึ้น 9.1%
          หุ้นวอลท์ดิสนีย์ ปรับตัวลง 0.63% หลังจากดิสนีย์ประกาศเลื่อนการเปิดสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ 2 แห่งในเมืองอนาไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย จากเดิมที่มีกำหนดกลับมาเปิดในวันที่ 17 ก.ค. นี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐแคลิฟอร์เนียยังไม่มีการประกาศแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเปิดให้บริการสวนสนุก
          หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 1% หลังจากมีรายงานว่า บริษัทแอร์บัส ซึ่งเป็นคู่แข่งของโบอิ้ง บรรลุเป้าหมายการผลิตเครื่องบิน และสามารถรับมือกับปัญหาด้านอุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ได้อย่างราบรื่น
          อย่างไรก็ดี ข้อมูลแรงงานที่อ่อนแอของสหรัฐทำให้ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงกดดันในระหว่างวัน โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.48 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.35 ล้านราย โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 14 แม้ว่ารัฐต่างๆได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และได้เปิดเศรษฐกิจครั้งใหม่
          ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง 5% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 หลังจากที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่าหดตัวลง 4.8% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล ซึ่งทำให้มีการปิดเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
          ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 15.8% ในเดือนพ.ค. หลังจากร่วงลง 18.1% ในเดือนเม.ย. โดยการพุ่งขึ้นของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนพ.ค. ได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังจากมีการปิดเศรษฐกิจก่อนหน้านี้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
          สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน