ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ข่าวหุ้น-การเงิน 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2563  (อ่าน 918 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 90000
    • ดูรายละเอียด

****ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดบวก $7.5 ทำนิวไฮในรอบเกือบ 9 ปี
          สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) ที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 ปี เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน และยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. เพิ่มขึ้น 7.5 ดอลลาร์ หรือ 0.4% ปิดที่ 1,897.5 ดอลลาร์/ออนซ์ และในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาทองพุ่งขึ้น 4.8% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 เม.ย.
          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 13.8 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 22.85  ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 7.8 ดอลลาร์ หรือ 0.81% ปิดที่ 956  ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. พุ่งขึ้น 54.30 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 2,294.10 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาทองพุ่งขึ้นเหนือระดับ 1,900 ดอลลาร์ระหว่างวัน และปิดตลาดที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 9 ปี เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
          สัญญาทองคำปรับตัวขึ้นสูงถึง 1,904.60 ดอลลาร์/ออนซ์ และปิดตลาดเหนือระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 2554 ที่ 1,891.90 ดอลลาร์/ออนซ์
          นักลงทุนพากันเข้าซื้อทองจากความวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจีนสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเฉิงตู เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันโดยให้เหตุผลว่าจีนทำการจารกรรมข้อมูลลับของสหรัฐ
          นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อทองเพราะวิตกเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐที่พุ่งขึ้นทะลุ 4 ล้านราย และมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 1,000 คนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว
          Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 4,244,605 ราย และมีผู้เสียชีวิต 148,387 ราย

****ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 182.44 จุด วิตกสหรัฐ-จีนตึงเครียด,ยอดโควิดพุ่งไม่หยุด
          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายหุ้นออกมาจากความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมากขึ้นระหว่างสหรัฐ-จีน, จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการที่บริษัทจดทะเบียนของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการออกมาแย่กว่าคาด
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,469.89 จุด ลดลง 182.44 จุด หรือ -0.68%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,215.63 จุด ลดลง 20.03 จุด หรือ -0.62% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,363.18 จุด ลดลง 98.44 จุด หรือ -0.94%
          ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 0.8%, ดัชนี S&P500 ลบ 0.3% และดัชนี Nasdaq ร่วงลง 1.3%
          ตลาดถูกกดดันจากความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากจีนสั่งให้สหรัฐปิดสถานกงสุลในเมืองเฉิงตู เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน
          นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐที่พุ่งขึ้นทะลุ 4 ล้านรายแล้ว และมีชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโควิด-19 มากกว่า 1,000 คนเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาติดต่อกันเป็นวันที่ 3 แล้ว
          Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 4,244,605 ราย และมีผู้เสียชีวิต 148,387 ราย
          ทั้งนี้ หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ ยกเว้นหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงหนักที่สุด
          หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีถ่วงตลาดลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยหุ้นอินเทล ร่วง 16.24% หลังบริษัทรายงานความล่าช้าในการผลิตชิป ขนาด 7 นาโนเมตร ซึ่งมีขนาดเล็กลงและมีขีดความสามารถในการประมวลผลได้เร็วขึ้น
          หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ ร่วง 1.1% ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะลงนามในคำสั่งบริหารที่มีเป้าหมายเพื่อลดราคายาลง
          หุ้นลบอื่นๆ ในตลาดได้แก่ หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ร่วง 1.4% หลังรายงานผลกำไรรายไตรมาส ร่วง 85% เนื่องจากการกันเงินสำรองเกือบ 638 ล้านดอลลาร์เพื่อรองรับการผิดนัดชำระหนี้
          หุ้นฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชันแล ร่วง 2.8% และหุ้นเทสลา อิงค์ ร่วง 6.3%
          ส่วนหุ้นบวกในตลาดได้แก่ หุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดีไวเซส (AMD) พุ่ง 16.5% และหุ้นเวอไรซอน คอมมิวนิเคชั่น บวก 1.8% หลังเปิดเผยรายได้และผลกำไรที่สูงเกินคาด
          ในสัปดาห์หน้า นักลงทุนจะมุ่งความสนใจไปที่การเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทชั้นนำ, การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 28-29 ก.ค. และการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2563 ของสหรัฐซึ่งคาดว่าจะย่ำแย่ที่สุดเป็นประวัติการณ์
          บริษัทแอปเปิล, อัลฟาเบท และแอมะซอน.คอม จะเปิดเผยผลประกอบการในวันที่ 30 ก.ค. และกระทรวงพาณิชย์สหรัฐจะเปิดเผย GDP ไตรมาส 2 ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะทรุดลง 35%
          ข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 13.8% สู่ระดับ 776,000 ยูนิตในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 4% สู่ระดับ 700,000 ยูนิต
          ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 50.0 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน จากระดับ 47.9 ในเดือนมิ.ย.


***น้ำมัน WTI ปิดบวก 22 เซนต์ ขานรับข้อมูลบ่งชี้เศรษฐกิจฟื้นตัว

ข่าวต่างประเทศ Saturday July 25, 2020 07:26 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 ก.ค.) หลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน โดยนักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบ หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐและจีน และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ทำให้เกิดความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมัน

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 41.29 ดอลลาร์/บาร์เรล และเพิ่มขึ้น 1.3% ในรอบสัปดาห์นี้

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.07% ปิดที่ 43.34 ดอลลาร์/บาร์เรล และเพิ่มขึ้น 0.5% ในรอบสัปดาห์นี้

นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบ เนื่องจากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ พุ่งขึ้น 13.8% สู่ระดับ 776,000 ยูนิตในเดือนมิ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า จะเพิ่มขึ้น 4% สู่ระดับ 700,000 ยูนิต

ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 50.0 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน จากระดับ 47.9 ในเดือนมิ.ย.

การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสจากยุโรปก็ได้ช่วยหนุนตลาดน้ำมันด้วย โดยไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้น ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 51.1 ในเดือนก.ค. จากระดับ 47.4 ในเดือนมิ.ย. ดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 50.0 โดยดัชนีภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนก.ค. แตะระดับสูงสุดในรอบ 19 เดือน

ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 25 เดือนที่ 55.1 ในเดือนก.ค. จากระดับ 48.3 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ระดับ 51

นักวิเคราะห์ระบุว่า แนวโน้มตลาดน้ำมันยังคงเป็นไปในเชิงบวก หลังราคาแตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือนในสัปดาห์นี้

ส่วนบรรดาเทรดเดอร์ก็ยังคงจับตาผลกระทบจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้ภาวะธุรกิจชะงักงัน และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัวอีกครั้ง ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐ-จีน หลังจีนสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเฉิงตู เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตันโดยให้เหตุผลว่าจีนทำการจารกรรมข้อมูลลับของสหรัฐ

บริษัทเบเกอร์ ฮิวจ์ซึ่งให้บริการขุดเจาะน้ำมันเปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันที่มีการใช้งานในสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1 แท่น สู่ระดับ 181 แท่นในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 มี.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่า อาจจะมีการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น

ตลาดจะจับตาผลกระทบด้านการนำเข้าและส่งออกน้ำมันดิบในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ซึ่งอาจเกิดจากพายุโซนร้อนฮันนา และพายุโซนร้อนกอนซาโลที่จะพัดขึ้นฝั่งในช่วงสุดสัปดาห์นี้