ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ข่าวหุ้น-การเงิน 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2563  (อ่าน 819 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 89300
    • ดูรายละเอียด

***ราคาน้ำมัน WTI ร่วงกว่า 1% ปัจจัยโควิด,ข้อพิพาทสหรัฐ-จีนกดดันตลาด

ข่าวต่างประเทศ Monday July 27, 2020 22:52 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ราคาน้ำมัน WTI ร่วงกว่า 1% ปัจจัยโควิด,ข้อพิพาทสหรัฐ-จีนกดดันตลาด
สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ร่วงลงกว่า 1% ในวันนี้ ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งจะกระทบต่ออุปสงค์น้ำมัน

ณ เวลา 22.34 น.ตามเวลาไทย สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ส่งมอบเดือนก.ย. ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาด NYMEX ลดลง 64 เซนต์ หรือ 1.55% สู่ระดับ 40.65 ดอลลาร์/บาร์เรล

กระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงในวันนี้ว่า จีนได้เข้ายึดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเฉิงตูแล้ว หลังจากที่ได้สั่งให้สหรัฐปิดสถานกงสุลดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน พร้อมกับกล่าวหาว่าจีนได้ทำการจารกรรมข้อมูลลับของสหรัฐ

นอกจากนี้ สหรัฐและจีนยังมีความขัดแย้งในหลากหลายประเด็น ได้แก่ การค้า สถานการณ์ในฮ่องกงและทะเลจีนใต้ รวมทั้งที่มาของไวรัสโควิด-19

Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้ใกล้แตะระดับ 16.5 ล้านราย และยอดผู้เสียชีวิตเกินกว่า 650,000 ราย

สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 4,370,000 ราย เสียชีวิตเกือบ 150,000 ราย

ถึงแม้ราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงในวันนี้ แต่มีแนวโน้มดีดตัวขึ้นในเดือนนี้เป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยได้ปัจจัยหนุนจากการปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส

นอกจากนี้ การผลิตน้ำมันของสหรัฐได้ลดลงอย่างหนัก แม้ว่าแท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐมีจำนวนเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมี.ค.

ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าของดอลลาร์ และการคาดการณ์เกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ของสหรัฐ ก็ได้ช่วยสกัดช่วงขาลงของราคาน้ำมัน

***ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดพุ่ง $33.5 ทำนิวไฮ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
          สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนแห่ซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รวมทั้งความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นอีกปัจจัยที่ดึงดูดแรงซื้อทองคำ
          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค. พุ่งขึ้น 33.5 ดอลลาร์ หรือ 1.77% ปิดที่ 1,931 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 1.651 ดอลลาร์ หรือ 7.23% ปิดที่ 24.501 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 10.6 ดอลลาร์ หรือ 1.11% ปิดที่ 966.6 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนก.ย. พุ่งขึ้น 75.60 ดอลลาร์ หรือ 3.3% ปิดที่ 2,369.70 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาทองคำทุบสถิติสูงสุดในรอบ 9 ปีซึ่งทำไว้เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และพุ่งขึ้นปิดทำนิวไฮเมื่อคืนนี้ เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงเมื่อวานนี้ว่า จีนได้เข้ายึดสถานกงสุลสหรัฐในเมืองเฉิงตูแล้ว หลังจากที่ได้สั่งให้สหรัฐปิดสถานกงสุลดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เพื่อตอบโต้ที่สหรัฐสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน พร้อมกับกล่าวหาว่าจีนได้ทำการจารกรรมข้อมูลลับของสหรัฐ
          ขณะเดียวกันสหรัฐและจีนยังมีความขัดแย้งในหลากหลายประเด็น ได้แก่ การค้า สถานการณ์ในฮ่องกงและทะเลจีนใต้ รวมทั้งที่มาของไวรัสโควิด-19
          ความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ยังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย โดย Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้ใกล้แตะระดับ 16.5 ล้านราย และยอดผู้เสียชีวิตเกินกว่า 650,000 ราย
          สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 4,370,000 ราย เสียชีวิตเกือบ 150,000 ราย
          นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับแรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ เนื่องจากเมื่อดอลลาร์อ่อนค่าลงจะทำให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น มีราคาถูกลงและมีความน่าดึงดูดมากขึ้นสำหรับนักลงทุนที่ถือเงินสกุลอื่น
          ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.82% สู่ระดับ 93.6738 เมื่อคืนนี้

***ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 114.88 จุด รับแรงซื้อหุ้นเทคโนฯ,จับตาสหรัฐออกมาตรการหนุนศก.
          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่ม FAANG (เฟซบุ๊ก,แอปเปิล,อเมซอน,เน็ตฟลิกซ์ และอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล) ขณะที่นักลงทุนจับตาการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ของสหรัฐ รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,584.77 จุด เพิ่มขึ้น 114.88 จุด หรือ +0.43% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,239.41 จุด เพิ่มขึ้น 23.78 จุด หรือ +0.74% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,536.27 จุด เพิ่มขึ้น 173.09 จุด หรือ +1.67%
          นักวิเคราะห์จากบริษัทคอนนิง ในรัฐคอนเน็กติกัต กล่าวว่า นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างคึกคัก และคาดว่าหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะปรับตัวสูงขึ้นอีก เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีมีแนวโน้มที่จะเติบได้มากกว่าบริษัทกลุ่มอื่นๆ ในช่วงเวลาที่สหรัฐยังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19
          หุ้นบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม FAANG ดีดตัวขึ้นถ้วนหน้า โดยหุ้นเฟซบุ๊ก เพิ่มขึ้น 1.21% หุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.37% หุ้นอเมซอน ดีดขึ้น 1.54% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ทะยานขึ้น 3.16% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 1.41% ส่วนหุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มเทคโนโลยีนั้น หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ เพิ่มขึ้น 1.7% หุ้น Nvidia พุ่งขึ้น 2.23%
          หุ้นกลุ่มวัสดุปรับตัวขึ้น โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอร์แรน พุ่งขึ้น 3.35% หุ้นอัลโค คอร์ป พุ่งขึ้น 3.84% หุ้นวัลแคน มาเทเรียลส์ บวก 0.75%
          หุ้นบริษัท Moderna ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐ พุ่งขึ้น 9.15% หลังจากทางบริษัทได้รับเงินทุนจากรัฐบาลสหรัฐเพิ่มเติมอีก 472 ล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 โดยเม็ดเงินดังกล่าวจะช่วยสนับสนุน Moderna ในการดำเนินโครงการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในเฟส 3 ซึ่งเริ่มต้นเมื่อวานนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัทได้รับเงินทุนจากรัฐบาลจำนวน 483 ล้านดอลลาร์ในเดือนเม.ย.
          อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มธุรกิจเรือสำราญร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยหุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ร่วงลง 7.1% หุ้นนอร์วีเจียน ครูซ ไลน์ โฮลดิ้งส์ ดิ่งลง 7%, และหุ้นรอยัล แคริบเบียน ร่วงลง 3%
          นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ โดยคาดว่าจะมีวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่โครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้
          นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 28-29 ก.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.00-0.25% ในการประชุมครั้งนี้ และเฟดจะยืนยันว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวในช่วงหลายปีข้างหน้า
          สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 7.3% ในเดือนมิ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากยอดขายรถยนต์ ซึ่งทำให้ยอดสั่งซื้อสินค้าในกลุ่มขนส่งเพิ่มขึ้น 20% หลังจากที่พุ่งขึ้น 78.9 ในเดือนพ.ค. ขณะที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังจากมีการปิดเศรษฐกิจก่อนหน้านี้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
          ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ค.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จาก Conference Board, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2563 (ประมาณการเบื้องต้น),ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนมิ.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน