สกู๊ปพิเศษถึงเวลา...รัฐกับชาวสวนยางจริงใจต่อกัน ฝ่าวิกฤติราคาดิ่งเหวให้ "ทุกคน" อยู่รอด
วันพฤหัสที่ 8 ตุลาคม 2558 เวลา 2.02 น.
ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร สุดท้ายแล้วรัฐบาลที่มาจาก คสช.ก็ยืนยันในประโยคเดิม คือ ราคายางต้องเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก
การเคลื่อนไหวของเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ รวมถึงเครือข่ายในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคเหนือบางส่วน เพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำไม่ได้เพิ่งจะมีขึ้นในขณะนี้แต่ได้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เข้ามาบริหารประเทศ
แต่ไม่ว่าจะมีเคลื่อนไหวอย่างไร สุดท้ายแล้วรัฐบาลที่มาจาก คสช.ก็ยืนยันในประโยคเดิม ๆคือ ราคายางต้องเป็นไปตามกลไกของตลาดโลก
ล่าสุด"เครือข่ายแนวร้ามกู้ชีพชาว สวนยาง" ซึ่งนำโดย นายพิพัฒน์ เจือละออ และนายสุนทร รักษ์รงค์ แกนนำชาวสวนยางภาคใต้ได้เคลื่อนไหวด้วยการปิดป้ายประกาศเขตภัยพิบัติราคายางพาราตกต่ำทั่วภาคใต้พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเยียวยาชาวสวนยาง 6 ข้อ....แก้ปัญหาราคายางตกต่ำโดยด่วน ชดเชยราคาดูแลคุณภาพชีวิตชาวสวนยาง ลดต้นทุนขบวนการผลิตให้กับชาวสวน ลดค่าครองชีพชาวสวนยาง และขึ้นทะเบียนชาวสวนที่ไม่มีเอกสารสิทธิ
สิ่งหนึ่งที่เกษตรกรชาวสวนยางต้องยอมรับความจริงคือ ในระยะเวลา 1-2 ปีนี้ ถ้าราคายางพาราถูกรัฐบาลปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของตลาดโลก ราคายางพาราในบ้านเราจะมีราคาอยู่ที่ 40-45 บาท และในบางช่วงสูงสุดคือไม่เกิน 50 บาท นั่นหมายถึงราคายางแผ่นรมควันชั้น 1 ที่เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่ได้ผลิตและเกษตรส่วนใหญ่ของประเทศนี้ก็ไม่มีโอกาสนำยางแผ่นดิบไปขายแข่งกับพ่อค้าในตลาดกลางอยู่แล้ว
ดังนั้นถ้ารัฐบาลไม่มีนโยบายในการ "แทรกแซง" หรือการช่วยเหลืออย่างหนึ่งอย่างใด เกษตรกรชาวสวนยางต้องยอมรับสภาพของความเป็นอยู่และต้องหาทางด้วยตนเองในการทำอาชีพเสริม หรือการลดต้นทุนในการทำสวนยาง รวมทั้งหาวิธีการในเรื่องอื่นๆ เพื่อให้ "อยู่รอด"โดยต้องเดือดร้อนน้อยที่สุด
ในอดีตนั้นยางพาราเป็น "พืชทาง การเมือง"เมื่อราคายางตกต่ำเกษตรกรใช้วิธีการ "ปิดถนน" และรัฐบาลที่ผ่านมา ก็จะใช้นโยบายในการ "แทรกแซงราคา" และ "ประกันราคา" โดยในสมัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีก็ใช้ นโยบายซื้อยางตามโครงการ "รักษาเสถียรภาพ"่ ส่วนในสมัย "บิ๊กตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา ก็ใช้นโยบายซื้อยางตามโครงการ "มูลภัณฑ์กันชน"
2 แบบ 2 นโยบายรัฐบาลต้องสูญเสียเงินครั้งละนับหมื่นล้าน แต่ไม่ได้ช่วยเกษตรกรชาวสวนยางให้ขายยางในราคาที่แพงขึ้นแต่อย่างใดเงิน "ส่วนต่าง" ทั้งหมด ตกถึงชาวสวนยางไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้นตกไปอยู่ใน "กระเป๋า" ของพ่อค้าคนกลาง
และอาจจะเป็นเพราะ "พล.อ.ประยุทธ์ " รู้เช่นเห็นชาติของพ่อค้าคนกลางที่ถูกขนามนามว่า "5 เสือยางพารา"ที่กลายเป็น "เสือนอนกิน" จึงยกเลิกการ "แทรกแซง" ปล่อยให้ชาวสวนยาง "ผจญชีวิต"อยู่กับความเป็นจริง
สิ่งที่รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องรู้ก็คือ ชาวสวนยางทั้งประเทศไม่ว่า เหนือ ใต้ อีสาน โดยเฉพาะชาวสวนยางรายย่อยที่มีอยู่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ไม่มีโอกาสขายยางพาราในราคาชั้น 1 ชั้น 2 ชั้น 3 ที่ตลาดกลางยางพาราไม่ว่าจะเป็นที่ไหนเหตุผลคือ ชาวสวนยาง 80 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ทำยางแผ่นรมควัน ชีวิตของชาวสวนยางในปัจจุบัน คือการขายน้ำยางสดวันต่อวันในหมู่บ้านและขายยางแผ่นดิบให้กับร้านค้าในหมู่บ้าน-ตำบล โดยขายในราคาที่ พ่อค้าท้องถิ่นเป็นผู้กำหนด
เกษตรกรชาวสวนยางรายเล็กรายน้อย ต้อง "จำใจ"ขาย เพราะต้องนำเงินมาใช้เป็นค่าครองชีพ "วันต่อวัน" แม้จะไม่เข้าข่าย "หาเช้ากินค่ำ" แต่เป็นการหารายได้ "วันต่อวัน" นั่นคือสภาพของข้อเท็จจริงที่คนบน"หอคอยงาช้าง" มองไม่เห็น
ดังนั้นตลาดกลางยางพารา จึงเป็นตลาดของพ่อค้ารายใหญ่ พ่อค้ารายย่อยโรงงานยางรมควัน ที่ซื้อน้ำยางสดในราคาถูกจากชาวสวนยางและนำมาผลิตเป็นยางแผ่นรมควันขายให้กับตลาดกลางในราคาที่สูง หากรัฐบาลมาดูการซื้อ-ขายยางที่ตลาดกลางก็จะเห็นว่ารถบรรทุกยางเข้าไปยังตลาดกลางเป็นรถยนต์ 6 ล้อ 10 ล้อ และเทรเลอร์ที่ใครก็รู้ว่าเป็น "นายทุน" หาใช่ชาวสวนยางรายเล็กรายน้อย ซึ่งเป็นเกษตรกรชาวสวนยางของประเทศแต่อย่างใด
และก็เชื่อว่าการออกมา "เคลื่อนไหว" ของเครือข่ายแนวร่วมกู้ชีพชาวสวนยางครั้งนี้ ก็คงจะเป็นการ "ขับเคลื่อน"ที่ "กระสุนด้าน" เหมือนกันทุกครั้งที่เคลื่อนไหวมาแล้วในรอบ 1 ปีเศษ
เพราะการ "เคลื่อนไหว"เพื่อเรียกร้อง และต่อรองกับรัฐบาลนั้น ต้องมี "ทุนรอน" ต้องมี "แบ๊กอัพ" ซึ่งในอดีตการลุกขึ้นมาปิดถนน เรียกร้องราคายางของชาวสวนยางมีพรรคการเมือง เป็น "แบ๊กอัพ"
แต่วันนี้ เมื่อพรรคการเมือง นักการเมืองเป็นเหมือน "ลูกไก่"ใน "อุ้งมือ" ของคสช.รวมทั้งหากเข้ามาสนับสนุนชาวสวนยางแล้วไม่มีผลตอบแทน นักการเมืองจึงไม่ต้องการเปลืองตัว สุดท้ายการเคลื่อนไหวของเครือข่ายชาวสวนยางจึงทำได้แค่เป็น "กระแส" และอาจจะมีเรื่อง "การเมือง"ในกลุ่มของ "แกนนำ" ที่ตกเวทีของ "สภาการยางแห่งประเทศไทย"
ดังนั้นการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำเพื่อช่วยเหลือชาวสวนยางในประเทศจึงต้องให้ความสำคัญในการลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มช่องทางในการทำอาชีพเสริมในสวนยาง หรือการใช้ประโยชน์ที่ดินให้คุ้มค่า การลดต้นทุนด้วยการส่งเสริมให้มีการผลิตปุ๋ยใช้เองซึ่งจะทำให้ลดต้นทุนได้อย่างแท้จริง
การส่งเสริมใช้ที่ดินในการปลูกพืชอื่นๆ หรือการเลี้ยงวัว เลี้ยงแพะ เลี้ยงไก่ ปลูกสมุนไพร การเลี้ยงฝึ้ง ซึ่งเกษตรกรชาวสวนยางหัวก้าวหน้าใน จ.พัทลุง ทำได้ผลเป็นจำนวนมาก แต่รัฐบาลและหน่วยงานอื่นๆ ในส่วนภูมิภาคไม่ได้ทำการ "ผลักดัน" หรือ "ขับเคลื่อน" อย่างจริงจัง
และสิ่งที่น่าสังเกตคือ นับตั้งแต่ไทยนำยางพันธุ์ดีเข้ามาปลูกแทนไม่ว่าจะเป็นพันธุ์อาร์อาร์ไอเอ็ม 600 ซึ่งปลูกกันมาก รวมทั้ง อาร์อาร์ไอเอ็ม 623 และอื่นๆ จะพบว่า เมื่อ 50 ปีก่อน ยางเหล่านี้ให้ผลผลิตต่อไร่ที่ 2.5 กก.วันนี้ผ่านไป 50 ปี พันธุ์ยางเหล่านี้ยังให้ผลผลิตต่อไร่เท่าเดิม แสดงให้เห็นถึงการไม่พัฒนาให้มีพันธุ์ยางพันธุ์ใหม่ๆ ที่ให้น้ำยางเพิ่มขึ้น
ส่วนการที่รัฐบาลพยายาม "โน้มน้าว"ให้ชาวสวนยางไปปลูกพืชอื่นๆ ทดแทนนั้นคำถามที่ชาวสวนถามกลับไปคือจะให้ชาวสวนยางปลูกพืชอะไรที่ปลูกแล้ว มีผลผลิตขายได้เช่นเดียวกับยางพาราในเมื่อไม่ว่าจะเป็นมังคุด ลองกอง ทุเรียน และอื่นๆ นั้น ย่ำแย่กว่ายางพาราทั้งนั้น
ทางออกของการแก้ปัญหายางพาราไทยคือเกษตรกรชาวสวนยางและรัฐบาลต้อง "รู้จริง" ในเรื่องของปัญหายางพาราในขณะเดียวกันเกษตรกรชาวสวนยางต้องรับ "ความจริง" และทั้ง 2 ฝ่ายต้องมีความ "จริงใจ" ในการร่วมกัน "หาทางออก" หรือการ "ผ่าทางตัน"
และสุดท้ายรัฐบาลต้องกล้าในการตัดสินใจกับยางพาราในโกดังนับแสนๆ ตันที่กำลังจะกลายเป็น "ยางเน่า"โดยไม่รับผิดชอบเพราะถ้ารัฐตัดสินใจขายยางเหล่านี้ทิ้ง นอกจากจะไม่มีเงินสดจำนวนหลายแสนล้านเข้าประเทศแล้ว ยังอาจจะทำให้ราคายางพารา "ไม่กระเตื้องขึ้น" อย่างทันที ก็ได้
ที่มา ศุนย์เดลินิวส์ภาคใต้ตอนล่าง