ผู้เขียน หัวข้อ: มติ ป.ป.ช. 7 : 0 ฟัน 'ปู' จำนำข้าว  (อ่าน 562 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 89307
    • ดูรายละเอียด
มติ ป.ป.ช. 7 : 0 ฟัน 'ปู' จำนำข้าว
« เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2014, 11:46:53 AM »

มติ ป.ป.ช. 7 : 0 ฟัน 'ปู' จำนำข้าว


 
ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม 2557 00:00:23 น.
หมายเหตุ : เอกสารข่าวประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่อง การไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีว่า กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวของรัฐบาล




 
จากการไต่สวนข้อเท็จจริงคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แจ้งข้อกล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวและได้ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อกล่าวหา และไต่สวนได้พยานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหาที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว ในวันนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริง เรื่องกล่าวหานี้แล้วโดยมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามคำชี้แจงข้อกล่าวหา ดังนี้


มีประเด็นต้องวินิจฉัยตามคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาประการแรกว่า กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยกข้อสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหากระ ทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นไปโดยเร่งรีบอย่างเป็นพิเศษหรือไม่ การับฟังคำให้การของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่


พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ซ. มีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวตามที่มีอำนาจหน้าที่ ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหายนั้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 66 บัญญัติว่า ในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเหตุอันควรสงสัยหรือมีผู้กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี...ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว ดังนั้น การยกข้อสงสัยและดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช.  ในคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนผู้ที่กล่าวหาอ้างว่าการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นไปด้วยความเร่งรีบอย่างเป็นพิเศษนั้น ตามมาตรา 66 ได้บัญญัติให้ดำเนินการไต่สวนโดยเร็ว ดังนั้น การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีนี้โดยเร็ว จึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แต่งตั้งให้ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนนั้น ไม่ปรากฏว่าเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ร่วมในการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 46 ดังนั้น การแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวนจึงชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการรับฟังคำให้การของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายวรงค์ เดชกิจวิกรม นั้น ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 48 บัญญัติว่า ในการไต่สวนข้อเท็จจริงห้ามมิให้ทำหรือจัดให้ทำการใดๆ ซึ่งเป็นการล่อลวงหรือขู่เข็ญหรือให้สัญญากับผู้ถูกกล่าวหาหรือพยานเพื่อจูงใจให้เขาให้ถ้อยคำอย่างใดๆ ในเรื่องที่กล่าวหานั้น ดังนั้น เมื่อผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กล่าวอ้างว่ามีการกระทำดังกล่าว คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงชอบที่จะรับฟังคำให้การของบุคคลดังกล่าวได้


คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเสียงข้างมากด้วยคะแนน 7 : 0 เสียง เห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่าการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ฟังไม่ขึ้น


มีประเด็นต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า การที่รัฐบาลของผู้ถูกกล่าวหาดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกโดยกำหนดราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาด เมื่อมีการระบายข้าวที่รับจำนำได้เกิดผลขาดทุนจำนวนมาก แต่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ระงับยับยั้งโครงการ โดยยังคงดำเนินโครงการต่อมาจนเกิดผลขาดทุนสะสมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากนั้น การกระทำดังกล่าวมีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต หรือไม่


คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเสียงข้างมากด้วยคะแนน 7 : 0 เสียง เห็นว่า การที่ผู้ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลซึ่งได้กำหนดนโยบายการรับจำนำข้าวมาตั้งแต่ต้นและในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและมีส่วนร่วมในการบริหารโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ได้กำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกสูงกว่าราคาตามท้องตลาดเกินกว่าที่ควรคาดหมายได้ตามปกติ อันมีลักษณะเป็นการบิดเบือนกลไกตลาด และในการดำเนินโครงการปรากฏได้เกิดการทุจริตในทุกขั้นตอน ทั้งการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การสวมสิทธิ์เกษตรกร โกงความชื้น โกงตาชั่ง นำข้าวมาเวียนเข้าโครงการ การลักลอบนำข้าวออกจากคลัง ในส่วนของการระบายข้าวที่รับจำนำมีการใช้อิทธิพลทางการเมืองช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ข้าวจากโครงการไปจำหน่าย เกิดระบบนายหน้าค้าข้าวไม่เปิดประมูลข้าวอย่างเปิดเผย การทุจริตดังกล่าวได้ก่อให้เกิดภาระรายจ่ายของรัฐและภาวะขาดทุนเป็นจำนวนมากทั้งการอุดหนุนเกษตรกรและค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การสีแปรสภาพ การขนส่ง การเก็บรักษาและยังอาจมีปัญหาข้าวเสื่อมคุณภาพ ขายข้าวขาดทุน ข้าวสูญหายจากโกดัง รัฐบาลกลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่ ทำลายระบบการค้าข้าวโดยเสรี โรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการไม่สามารถจัดหาซื้อข้าวได้เพียงพอ โรงสีในโครงการและผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลข้าว จะมีการค้าขายที่มีข้อได้เปรียบโรงสีและผู้ส่งออกนอกโครงการ ตลอดจนราคาข้าวไทยแพงกว่าคู่แข่งในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยสูญเสียตลาดส่งออกที่สำคัญ การรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ด โดยไม่จำกัดพื้นที่ผลิตและวงเงินของการรับจำนำ ทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดความเสียหายต่อโครงการอย่างยิ่ง จากการนำข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์ ตลอดจนปริมาณรับจำนำสูงเกินกว่าข้อเท็จจริง แต่คุณภาพข้าวต่ำกว่าราคาที่รับจำนำ  ต่อมามีการระบายข้าวที่รับจำนำได้เกิดผลขาดทุนเป็นจำนวนมาก และผู้ถูกกล่าวหาได้รับรู้รับทราบจากรายงานผลการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล และยังรับทราบว่ามีการทุจริตในทุกขั้นตอนของการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าว อีกทั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีชาวนาที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวนับล้านครอบครัวที่ยังไม่ได้เงินทำให้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายหลายรายถึงกับฆ่าตัวตาย จึงเป็นกรณีจำเป็นที่ผู้ถูกกล่าวหาในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องพิจารณายับยั้งโครงการตั้งแต่เริ่มรับทราบว่ามีการทุจริตในการดำเนินโครงการและความเสียหายต่างๆ จากการดำเนินโครงการ แต่ผู้ถูกกล่าวหากลับยืนยันที่จะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อไป ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการมากขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหามีอำนาจหน้าที่โดยตรงที่จะต้องพิจารณายุติหรือยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล เพื่อระงับยับยั้งมิให้เกิดการทุจริตและระงับยับยั้งมิให้เกิดความเสียหายจากการดำเนินโครงการมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นสภาพความเสียหายที่เกิดจากโครงการรับจำนำข้าวที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าวมาจึงมีมูลความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 123/1 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ให้ส่งรายงานและเอกสารพร้อมความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามฐานความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 70.