รวม AFET- TFEX กระแสตอบรับดี ลุ้นใช้ราคาอ้างอิงดันยอดเทรดปล่อยเสรีสินค้าเกษตร
ลุ้นควบรวม AFET-TFEX กระตุ้นยอดซื้อขาย สานฝันสร้างราคาอ้างอิงสินค้าเกษตรไทย แนะรัฐบาลปรับสินค้าที่มีความนิยมในตลาดโลก-ไร้มาตรการแทรกแซงก่อน จับตาธุรกิจโบรกเกอร์คึกคักหลังแง้มให้เวลาปรับตัว 3-5 ปี จับคู่เพิ่มทุนอัพไซซ์สู้
ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2557 มีมติให้ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ควบรวมกับตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX นั้น
นายประยุทธ ศิริสวัสดิ์พิพัฒน์ รักษาการเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ก.ส.ล.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ.การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 เข้าสู่การพิจารณาของ ครม.แล้ว เบื้องต้นคาดว่ากฎหมายจะผ่านการพิจารณาของสภา และจะมีผลในทางปฏิบัติภายในเดือนกรกฎาคมนี้ สาระสำคัญของการแก้ไข 1.กำหนดการยกเลิกตลาดล่วงหน้า AFET และเปิดให้ TFEX ซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าได้ 2.เปิดให้ TFEX ซื้อขายแบบคู่ขนานได้ 3.AFET ต้องลดปริมาณการซื้อขายลง 4.ขอให้พนักงาน AFET ย้ายไปทำงานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำหรับโบรกเกอร์ที่ต้องการไปเทรดใน TFEX ต้องขอใบอนุญาตใหม่กับ ก.ล.ต. โดยจะได้สิทธิ์ลดค่าธรรมเนียมในการซื้อขายด้วย แต่คงต้องใช้เวลาปรับตัวประมาณ 3-5 ปี ปัจจุบันโบรกเกอร์มีประมาณ 10 ราย 2 รายซื้อขายใน TFEX อยู่แล้ว อีก 8 รายซื้อขาย AFET และปัจจุบันเลิกกิจการไป 1 ราย ที่เหลือ 7 รายแสดงความประสงค์จะย้ายไปเทรดใน TFEX ตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณาเพราะบริษัทส่วนใหญ่เป็นรายเล็กต้องดูว่าจะดำเนินธุรกิจแล้วจะคุ้มทุนหรือไม่
แหล่งข่าวจากวงการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การควบรวมตลาด AFET และ TFEX จะช่วยผลดีจะทำให้ปริมาณการซื้อขายมากขึ้น และนำสินค้าที่มีความต้องการของตลาดในวงกว้างมาเทรด เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และยางพารา เพื่อเพิ่มปริมาณการซื้อขายให้มากขึ้น ซึ่งช่วยกำหนดราคาอ้างอิงได้ ส่วนข้าวและมันสำปะหลังควรระงับชั่วคราวจนกว่าตลาดจะได้รับความนิยม
2) โบรกเกอร์ AFET มีความเชี่ยวชาญการเทรดสินค้าเกษตร แต่เป็นธุรกิจขนาดเล็ก ทุนจดทะเบียนรายละ 50 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจโบรกเกอร์ TFEX มีทุนจดทะเบียนรายละ 100 ล้านบาท ทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ เมื่อทุนจดทะเบียนน้อย ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจในการนำเงินหลักประกันการซื้อขายจำนวนมากมาลงทุน
แต่อีกด้านหนึ่งอาจเป็นโอกาสให้เกิดการควบรวมของโบรกเกอร์AFET และ TFEX ซึ่งไม่มีความชำนาญการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า 3) ประเด็นที่กังวลว่าหากควบรวมแล้ว 1 ตลาด แต่มี 2 กฎหมายกำกับดูแล พิจารณาแล้วไม่มีปัญหา เช่น ญี่ปุ่น แยกควบคุม 2 ตลาด แต่ไทยจำเป็นต้องแก้ พ.ร.บ.การซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 เพราะบางมาตราเป็นอุปสรรคที่ห้ามไม่ให้ใครสามารถเข้ามาเทรดสินค้าเกษตรล่วงหน้าได้ ขณะที่กฎหมายกำกับ TFEX ออกมาหลังจากปี 2542 เปิดกว้างให้สามารถซื้อขายอนุพันธ์ทุกประเภท ดังนั้น จะต้องปลดล็อกกฎหมาย
โดยแนวทางคือ ยกร่าง พ.ร.บ.การซื้อขายฯ (ฉบับที่ 2) เพื่อยกเลิกข้อความการห้ามในลักษณะดังกล่าว พร้อมทั้งปรับปรุงบางมาตรา เช่น เดิมกำหนดให้ใช้สำนักหักบัญชีที่ให้บริการหักบัญชี โดยคิดอัตราค่าธรรมเนียมเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ เพื่อลดภาระจากเดิมมีสำนักหักบัญชีภายใน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว เป็นต้น
4) การปรับบทบาทในการกำกับดูแลสินค้าเกษตรของกระทรวงพาณิชย์ ต้องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมที่ดูแลทั้ง AFET เพื่อสร้างตลาดค้าเสรี แต่อีกด้านหนึ่งต้องกำหนดนโยบายแทรกแซงราคา แต่หากมีการควบรวมสำเร็จ สามารถเพิ่มปริมาณการซื้อขายจนสามารถกำหนดราคาอ้างอิงได้ กระทรวงพาณิชย์ไม่จำเป็นต้องแทรกแซง ปล่อยเป็นไปตามกลไกตลาด แต่ควรหันมามุ่งเน้นการสร้างแพ็กเกจ สนับสนุนเกษตรกรให้เข้าไปใช้บริการตลาดแทน จะช่วยให้เกษตรกรไทยเข้มแข็ง สามารถแข่งขันได้หลังรวมกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ (วันที่ 16 มีนาคม 2558)