ปิดโครงการมูลภัณฑ์กันชนพบยางตกค้างเพียบ
จังหวัดสุราษฎร์ธานีพบยางตกค้างรวม 1.5 ล้านกิโลกรัม หลังปิดรับซื้อยางโครงการมูลภัณฑ์กันชน คณะกรรมการดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้ายางพาราอย่างเป็นระบบครบวงจร เตรียมนำเรื่องส่งรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหา ด้านประธานภาคี คยปท.เผยที่ประชุมส่วนใหญ่ลงความเห็นให้ยุติโครงการมูลภัณฑ์กันชนรอบหน้า รับที่ผ่านมาล้มเหลว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโครงการมูลภัณฑ์กันชน รัฐบาลได้ใช้งบประมาณในการซื้อยางแผ่นดิบ และยางแผ่นรมควัน จากตลาดกลางยางพาราในราคานำตลาด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 จนถึงวันที่ 6 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ภายหลังปิดรับซื้อพบยางตกค้างอยู่ตามโกดังของตลาดเครือข่าย สถาบันเกษตรกรจำนวนมาก รวมถึงมียางตกค้างที่ตลาดกลางยางพาราสุราษฎร์ธานีอีกจำนวนหนึ่ง รวมแล้วพบยางพาราตกค้างถึง 1,501,000 กิโลกรัม
ทั้งนี้ เนื่องจากเมื่อสถาบันเกษตรกร หรือสหกรณ์ต่าง ๆ ที่เป็นเครือข่ายให้ตลาดกลางยางพาราสุราษฎร์ธานีรับซื้อยางเข้ามาแล้ว ไม่สามารถนำเข้าสู่ตลาดกลางได้ทันก่อนปิดโครงการ ทำให้ปริมาณยางตกค้างอยู่ที่ตลาดเครือข่ายจำนวนมาก อาทิ สหกรณ์การเกษตรบ้านเชี่ยวหลาน มียางก้อนถ้วยตกค้างอยู่ 200,000 กิโลกรัม สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านทุ่งคามียางตกค้าง 7,500 กิโลกรัม สหกรณ์กองทุนสวนยางบ้านท่าเฟือง 70,000 กิโลกรัม เป็นต้น รวมทั้งหมด 36 สถาบัน เป็นยางปริมาณ 765,000 กิโลกรัม เป็นยางก้อนถ้วย 200,000 กิโลกรัม ยางแผ่นดิบ 100,000 กิโลกรัม และยางแผ่นรมควัน 465,000 กิโลกรัม ขณะที่ตลาดกลางยางพาราสุราษฎร์ธานี เนื่องจากมีปริมาณยางตกค้างตลอดสัปดาห์ทำให้ไม่สามารถขนยางจากรถบรรทุกเข้าตลาดได้ ทำให้มียางตกค้างอยู่บนรถกระบะและบรรทุกจำนวน 61 ราย รวมน้ำหนัก 736,000 กิโลกรัม
ล่าสุด คณะกรรมการดำเนินการแก้ไขปัญหาสินค้ายางพาราอย่างเป็นระบบครบวงจร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเข้าตรวจสอบสต๊อกยาง ที่อยู่ในสถาบันเกษตรกรแล้ว จากนั้นได้ประชุมเพื่อรับรองสต๊อก และนำส่งให้ทางรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาต่อไป โดยปัญหาที่พบคือ ไม่สามารถขนย้ายยาง ที่ค้างในสต๊อกได้ และในส่วนที่ส่งมอบให้ อ.ส.ย.แล้ว แต่ อ.ส.ย.ยังคงค้างจ่ายเงิน 312,496,405 บาท และยางที่ตลาดเครือข่าย ได้แจ้งขายให้กับ อ.ส.ย.แล้ว แต่ยังคงค้างอยู่ ในตลาดเครือข่าย มูลค่า 77 ล้านบาทเศษ
ด้านนายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายชาวสวนยางพาราและชาวสวน ปาล์มแห่งประเทศไทย (คยปท.) และคณะทำงานบริหารจัดการยางพาราทั้งระบบ เพื่อแก้ไขปัญหายางพารา เปิดเผยว่า ผลจากการประชุมคณะกรรมการ เรื่องโครงการมูลภัณฑ์กันชนยางพาราลอตใหม่ ที่จะเปิดหน้ากรีดยางพาราเดือนพฤษภาคม 2558 คณะกรรมการทำงานส่วนใหญ่เห็นว่าควรยุติ เพราะที่ผ่านมาจำนวน 2 ลอต รัฐบาลใช้งบประมาณไปแล้วถึง 12,000 ล้านบาท แต่ยังไม่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ไม่
ถึงมือชาวสวนยางพาราอย่างแท้จริง จนทำให้เงินไม่ได้เข้าสู่ตลาดตามเป้าหมาย
ขณะที่คณะกรรมการในส่วนของ คยปท. บางส่วนยังเห็นควรให้ดำเนินการโครงการมูลภัณฑ์กันชนต่อไป แต่ต้องเขียนเงื่อนไขใหม่ให้ชัดเจน เช่น เกษตรกรผู้ขายยางพาราจะต้องลงทะเบียนเกษตรกร และมีรหัส ต้องกำหนดเพดานจำนวนการขายยาง และจะต้องกำหนดให้ชัดเจนของพื้นที่ขาย เป็นต้น ทั้งหมดจะต้องมีการป้องกันอย่างรอบด้านเพื่อให้ถึงมือเจ้าของยางพาราอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวจะมีการสรุปครั้งสุดท้ายก่อนเปิดหน้ากรีดยางพาราในเดือนพฤษภาคม 2558
ด้านนายชัยสิทธิ์ จงจิตต์ ประธานเครือข่าย เกษตรกร สกย.จังหวัดนครศรีธรรมราช เขต 2 กล่าวว่า ขณะนี้มียางแผ่นรมควันชั้น 3 ที่สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรในจังหวัดนครศรี ธรรมราช รับซื้อไว้จากสมาชิกค้างสต๊อกอยู่จำนวน 4,500 ตัน ส่งผลให้สหกรณ์/กลุ่มเกษตรกรประสบภาวะขาดทุน ไม่สามารถใช้หนี้เงินกู้ให้ ธ.ก.ส. และไม่สามารถ ปิดบัญชีในวันที่ 31 มีนาคม 2558 ได้ นอกจากนี้ยางก็เริ่มเสื่อมสภาพด้วย
บรรยายใต้ภาพ
ยางค้าง - หลังปิดโครงการมูลภัณฑ์กันชนเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา พบว่ามียางตกค้างตามโกดังเป็นจำนวนค้างถึง 1,501,000 กิโลกรัม
Souce: ประชาชาติธุรกิจ (Th)