ผู้เขียน หัวข้อ: ?บิ๊กตู่?สั่งหาไอ้โม่งโก่งราคายาง-ข้าว ชาวนาฟ้องซื้อข้าวเปลือกถูกขายข้าวสารแพง  (อ่าน 892 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 87964
    • ดูรายละเอียด
?บิ๊กตู่?สั่งหาไอ้โม่งโก่งราคายาง-ข้าว ชาวนาฟ้องซื้อข้าวเปลือกถูกขายข้าวสารแพง

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 5 มิ.ย. 2558 06:30


 


 
 ชาวนาโพล่งฟ้องนายกฯ ผลิตข้าวเปลือกขายได้ราคาถูก แต่ผู้ประกอบการขายข้าวสารราคาแพง ขูดรีดผู้บริโภค เสนอนำข้าวเปลือกรัฐแปรสภาพเป็นข้าวสารขายประชาชนราคาถูก ?ประยุทธ์? สั่งเล่นงานไอ้โม่ง ผุดไอเดียตั้งโรงสีขนาดเล็กผลิตข้าวแข่งเอกชน ?อำนวย? เตรียมปรับเงินโครงการมูลภัณฑ์กันชน (บัฟเฟอร์ฟันด์) 10,000 ล้านบาท ไปชดเชยส่วนต่างราคายางพาราให้แก่เกษตรกรรายย่อย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้ (4 มิ.ย.) นายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรและสหกรณ์ได้นำผู้นำชาวนาทั่วประเทศ ผู้นำกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวพร้อมสมาคมชาวนา 5 สมาคมรวมกว่า 200 คน เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เนื่องในวันที่ 5 มิ.ย.เป็นวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ โดยนายรังสรรค์ กาสูลงค์ ตัวแทนชาวนาจาก จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวกับนายกรัฐมนตรีว่า หลังจากรัฐบาลชุดนี้เข้ามาเร่งจ่ายเงินจำนำข้าวที่ค้างอยู่ให้ชาวนา พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท ขณะนี้เงินหมดไปแล้ว และข้าวเปลือกที่ขายในขณะนี้มีราคาถูก แต่ไม่เป็นไรเพราะชาวนาเข้าใจในความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม อยากฝากให้นายกรัฐมนตรีไปตรวจดูว่าใครได้ประโยชน์จากการซื้อข้าวเปลือกใน ราคาถูก แต่ประชาชนต้องซื้อข้าวสารในราคาแพง ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ตันละ 14,000 บาท ราคาจำหน่ายข้าวสารหอมมะลิกิโลกรัม (กก.) ละ 30 บาท หรือถังละ 450-500 บาท (1 ถังมี 15 กก.) ขณะนี้ราคาข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 13,000 บาท แต่กลับขายข้าวสารหอมมะลิ ถังละ 550-600 บาท ไม่สะท้อนความจริงของต้นทุน ผู้ประกอบการเอากำไรจากชาวนาแล้วไปขูดรีดกับผู้บริโภค อยากให้นายกรัฐมนตรีช่วยไปตามดูว่า ทำไมราคาข้าวเปลือกหอมมะลิลดลงเหลือตันละ 13,000 บาท ต้นทุนผู้ประกอบการควรจะลดลง แต่กลับขายข้าวสารหอมมะลิแพงขึ้น
ขณะที่ข้าวเปลือกเจ้าชาวนาขายได้ตันละ 7,500 บาท คิดเป็นต้นทุนข้าวสารเจ้า กก.ละ 11 บาท แต่ผู้ประกอบการนำข้าวไปขายถุง 5 กก.ในราคา 85-100 บาท คิดเป็น กก.ละ 17-20 บาท จึงขอเสนอให้รัฐบาลนำข้าวจากโครงการที่รัฐบาลปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โดยรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยให้ 3% ให้โรงสีไปซื้อข้าวเปลือกในตลาดมาเก็บไว้ เพื่อดึงราคาในตลาดนั้นมาสีแปรสภาพบรรจุขายในราคาที่เป็นธรรม โดยคิดเป็นต้นทุนข้าวสารเจ้า กก.ละ 11 บาท บวกกับค่าบรรจุ กก.ละ 1 บาท และค่าถุง อีก กก.ละ 1 บาท รวมเป็นต้นทุน กก.ละ 13 บาท คิดเป็นราคาต่อถุง 5 กก.ที่ 65 บาท ซึ่งอาจบวกค่าบริหารจัดการอย่างอื่นเข้าไปอีกก็สามารถจำหน่ายได้ถุงละ 70 บาทได้อย่างสบาย ถูกกว่าที่ผู้ประกอบการจำหน่ายในตลาดถึงถุงละ 15-30 บาท
?พวกผมผลิตข้าวไปขายในราคาถูก แต่คนกินข้าวซื้อข้าวกินในราคาแพง โกรธรัฐบาล จึงอยากขอร้องให้รัฐบาลนำข้าวเปลือกที่รัฐบาลเข้าไปสนับสนุนสินเชื่อให้โรง สีซึ่งมีอยู่ในมือหลายหมื่นตัน มาแปรสภาพขายให้ประชาชนในราคาที่สะท้อนต้นทุนที่เป็นจริง?
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวตอบชาวนาว่า ตนไม่แคร์บริษัทเหล่านั้น ประชาชนต้องไม่กินข้าวแพง ขอให้กระทรวงเกษตรฯและกระทรวงพาณิชย์ ไปหาทางนำข้าวจากโครงการรัฐมาแปรสภาพขายให้คนจนในราคาพิเศษและไปหาตัวไอ้ โม่งมาให้หมด พวกนี้รวยกันไม่เลิก ขณะที่ชาวนาจนลงๆ แต่พวกนี้กลับรวยขึ้นๆ หรือไม่ก็ต้องไปตั้งโรงสีขนาดเล็กมาผลิตข้าวขายแข่งกับเอกชนไปเลย จะได้หยุดพวกหากำไรเกินควรได้ ต้องมีทางเลือกให้ประชาชน คนจนต้องมีตลาดของตัวเอง ต้องผลิตสินค้ายี่ห้อช่วยชาติ ใครมีสตางค์ก็ไปซื้อในห้าง คนที่รายได้น้อยก็มาซื้อของถูก ที่แพ็กเกจอาจไม่สวย
?เมื่อวาน (3 มิ.ย.) ผมได้คุยกับผู้บริหารของเซเว่น อีเลฟเว่น ที่ถูกกระแสต่อต้านในโซเชียล บอกให้มาช่วยผมช่วยเหลือชาวไร่ชาวนา ซื้อสินค้าไปขายในเซเว่น หรือจัดพื้นที่หน้าร้านเซเว่นให้ชาวไร่ชาวนาขายพืชผัก ซึ่งเขาบอกว่ากำลังพิจารณากันอยู่?
ด้านนายอำนวย ปะติเส รมช.เกษตรฯ กล่าวว่า การนำข้าวในโครงการของรัฐมาผลิตข้าวถุงขายนั้น เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่าเมื่อนำมาผลิตข้าวถุงขายแล้วจะมีผลให้ราคาข้าวถุงในตลาดลดลง
นายอำนวย ยังกล่าวถึงการแก้ปัญหาราคายางพาราด้วยว่า จะเสนอปรับเปลี่ยนโครงการมูลภัณฑ์กันชน (บัฟเฟอร์ฟันด์) ที่ใช้กระตุ้นราคายางในตลาด ไปจัดทำโครงการชดเชยส่วนต่างราคายางพารา ให้แก่เกษตรกรรายย่อย ที่มีที่ดินไม่เกิน 25 ไร่ ซึ่งมีในระบบ 850,000 คน โดยจะเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ปลายเดือน มิ.ย.นี้ คาดว่าภายในไตรมาส 3 ของปีนี้จะเริ่มเดินหน้าโครงการได้
ทั้งนี้ โครงการบัฟเฟอร์ฟันด์ ถือว่าเป็นยาแรง เอามาใช้ในช่วงที่ราคายางต่ำมาก 48-49 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) แต่วันนี้ราคายางปรับตัวขึ้นที่ กก.ละ 60 บาท จึงต้องเปลี่ยนตามความเหมาะสม สำหรับวงเงินมีทั้งสิ้น 12,000 ล้านบาท หักค่าใช้จ่าย ค่าดำเนินงาน และต้นทุนอื่นจะเหลือเงินสำหรับการนำไปชดเชยส่วนต่างราคาให้ชาวสวนยาง 10,000 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ในรูปของเงินสด 3,000 ล้านบาท ที่เหลืออีก 7,000 ล้านบาทอยู่ในรูปของยางพาราที่รัฐบาลเก็บไว้ในสต๊อก ซึ่งมีคำสั่งซื้อเรียบร้อยแล้ว ส่วนจะชดเชยให้เกษตรกร กก.ละเท่าไหร่ คงต้องมาประเมินต้นทุน รายได้เป้าหมาย และราคายางเฉลี่ยในตลาด เพื่อให้ชาวสวนยางมีรายรับที่อยู่ได้.