เร่งควบรวมตลาดเกษตรล่วงหน้า เทรดเฉพาะยาง-โบรก'ฟิวเจอร์อกริ'เลิกกิจการ
ฝุ่นตลบควบรวม AFET-TFEX ทุบยอดซื้อขาย ล่วงหน้าสินค้าเกษตร 4 เดือนหดเหลือวันละ 100 สัญญา หลังประกาศหยุด ซื้อขายสินค้าเกษตร 3 รายการ ข้าว-มันสำปะหลัง-สับปะรด รอลุ้นกฎหมายใหม่ผ่าน สนช. ขีดเส้นควบรวมให้เสร็จสิ้นใน 15 เดือน ส่วนยอดโบรกเกอร์ที่จะตามไปตลาดใหม่หดเหลือ 9 ราย หลัง "ฟิวเจอร์ อกริ เทรด" หรือ "FAT" ของนายกสมาคมหยงประกาศปิดกิจการจากการขาดทุนต่อเนื่องและไม่มีข้าวให้เทรดใน ตลาดอีก
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2557 ให้ความเห็นชอบในหลักการควบรวมระหว่างตลาดสินค้าเกษตร ล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) กับบริษัทตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX ตามที่กระทรวงการคลังเสนอภายใต้ความเชื่อว่า การควบรวม 2 ตลาดเข้าด้วยกัน จะส่งผลให้ ปริมาณสัญญาการซื้อขายสินค้าเกษตร เพิ่มขึ้น เป็นการให้ความสะดวกแก่ผู้ลงทุนที่สามารถทำธุรกรรมได้ในตลาดเดียว ยกระดับการซื้อขายล่วงหน้าให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประกันความเสี่ยง และกำหนดราคาอ้างอิงสินค้าเกษตร
แหล่งข่าวจากคณะกรรมการกำกับการ ซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ก.ส.ล.) เปิดเผย กับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่านของตลาด AFET ไปเป็นตลาด TFEX ได้มีการตัดสินใจที่จะยุติการซื้อขายสินค้าเกษตร 3 รายการที่ไม่มีความเคลื่อนไหวมานาน ได้แก่ ข้าว (ข้าวขาว 5%-ข้าวหอมมะลิ), มันสำปะหลัง และสับปะรด เหลือเพียงยางแผ่นรมควันชั้น 3 เท่านั้น ที่ยังมีการซื้อขายอยู่ แต่ปริมาณการซื้อขายยางแผ่นในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย.) 2558 ก็ปรับตัวลดลงอย่างมาก โดยเหลือสัญญาเฉลี่ยต่อวันเพียง 100-200 สัญญาเท่านั้น เนื่องจากลูกค้าส่วนที่เป็นนักเก็งกำไร มีปริมาณลดลงเพื่อรอกระบวนการในการควบรวมเสร็จสิ้นลงเสียก่อน
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า พ.ศ. 2542 พ.ศ. ...ไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตรวจพิจารณาร่างกฎหมายเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ภายในปลายเดือนมิถุนายนนี้ โดยร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวได้กำหนดเงื่อนเวลาในการยุบรวมตลาด AFET ภายใน 15 เดือนหลังจากกฎหมายมีผลบังคับใช้ หรืออาจจะเร็วกว่า 15 เดือนก็ได้ หาก TFEX สามารถทำสัญญาควบคู่กันไปเพื่อผ่องถ่ายสัญญาที่ค้างจาก AFET ไปยัง TFEX ได้หมดเร็วกว่าระยะเวลา ที่กฎหมายกำหนด
สำหรับในส่วนของโบรกเกอร์ตลาด AFET เดิม ก็จะต้องสมัครขอรับ "ใบอนุญาต" เป็นสมาชิกตลาด TFEX เสียก่อนจึงจะซื้อขายในตลาด TFEX ได้ ซึ่งทาง ก.ส.ล.ได้ประสานกับทาง TFEX และ ก.ล.ต.-คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถึงการปรับลดเงื่อนไขบางประการเพื่อให้สมาชิก AFET สามารถสมัครได้ โดยขณะนี้มีโบรกเกอร์ที่พร้อมจะไป TFEX มากกว่าครึ่งจากจำนวนสมาชิกโบรกเกอร์ทั้งหมด 10 ราย แต่ในจำนวนนี้มีโบรกเกอร์ 1 รายยื่นขอปิดกิจการไปแล้ว
ทั้งนี้สมาชิกนายหน้าตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ที่ยังประกอบกิจการอยู่ ได้แก่ บริษัท ดีเอส ฟิวเจอร์ส จำกัด (DSF) ถือครองส่วนแบ่ง 45%, บริษัท พัฒนาเกษตรล่วงหน้า จำกัด (PAF) สัดส่วน 19%, บริษัท แอ็กโกร์ว เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด (AGE) สัดส่วน 19%, บริษัท แอโกรเวลท์ จำกัด (AGR) สัดส่วน 5%, บริษัท อินฟินิตี้ เวลท์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (IWF) สัดส่วน 5%, บริษัท หงต้า ฟิวเจอร์ส จำกัด (HOT) สัดส่วน 4%, บริษัท เอเซีย คอมมอดิตี้ ฟิวเจอร์ส จำกัด 3% และบริษัทโบรกเกอร์น้องใหม่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กับบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ยังมีสัดส่วน 0%
ส่วนโบรกเกอร์ที่ยื่นปิดตัวเองไปแล้ว ได้แก่ บริษัท ฟิวเจอร์ อกริ เทรด จำกัด หรือ FAT โดยนายสุพจน์ วงศ์จิรัฐิติกาล ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท กล่าวว่า FAT ได้ปิดกิจการไปแล้ว หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมา 13 ปี เพราะขาดทุนต่อเนื่อง และทุกวันนี้ ก็ไม่มีการซื้อขายข้าวในตลาด AFET/TFEX อีก
สำหรับการซื้อขายยางแผ่นรมควันในช่วงควบรวมยังคงมีการซื้อขายอยู่ใน 2 ตลาด เพื่อส่งมอบ-รับมอบและผ่องถ่ายสัญญาให้ครบถ้วน โดยสัญญาการซื้อขายใน TFEX คงยังเป็นรูปแบบเดิมหรือใกล้เคียงกับที่เคยทำสัญญาซื้อขายในตลาด AFET มากที่สุด เพื่อให้การส่งมอบหรือผ่องถ่าย สัญญาไม่สะดุด แต่ระยะถัดไปก็จะมี การพิจารณาเปิดซื้อขายสินค้าเกษตรชนิดใหม่ และกำหนดข้อตกลงเงื่อนไขการซื้อขายใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่สินค้าเดิมที่เคยเปิดในตลาด AFET ก็ได้
ขณะที่นายหลักชัย กิตติพล ประธานบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยฮั้วยางพารา จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า การควบรวมตลาดจะทำให้การเทรดยางพารามีความแพร่หลายมากขึ้น ทำให้มีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 สัญญา/วัน หรือปริมาณ 5,000 ตัน/วัน จากปัจจุบันที่มีการเทรดเพียงวันละ 200 สัญญากับเทรดเดอร์ที่ซื้อขายประจำไม่ถึง 10 ราย "การเปิดเทรดในตลาด TFEX น่าจะ ทำตลาดได้มากกว่า เพราะมีโบรกเกอร์ จำนวนมาก และจะดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามา ร่วมเทรดได้มากขึ้น" นายหลักชัยกล่าว
ประชาชาติธุรกิจ (Th)