ผู้เขียน หัวข้อ: ?พล.อ.ประวิตร?กับการจัดการป่า ?ปิดถนน-โค่นยาง? ความเฉียบขาดที่ช่วงอื่นทำไม่ได้  (อ่าน 714 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 87931
    • ดูรายละเอียด
?พล.อ.ประวิตร?กับการจัดการป่า ?ปิดถนน-โค่นยาง? ความเฉียบขาดที่ช่วงอื่นทำไม่ได้

วันที่ 13 มิถุนายน  พ.ศ. 2558 เวลา 18:30:44 น


พล.อ.ประวิตรกับการจัดการป่า

คอลัมน์ คลื่นคิดข่าว
โดย ชุติมา นุ่นมัน aae_ok@yahoo.com



ระยะนี้เราอาจจะเห็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เกรี้ยวกราดอารมณ์เสียกับหลายๆ คำถามของนักข่าวในประเด็นการเมืองที่เร่าร้อน




แต่ในเมื่อออกมาจากห้องประชุม ที่มีการนั่งคุยกันของคณะกรรมการมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด พล.อ.ประวิตรตอบทุกคำถามของนักข่าวสิ่งแวดล้อม ว่าด้วยเรื่อง การจัดการพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในฐานะประธานมูลนิธิดังกล่าว โดยระหว่างอยู่ในห้องประชุม มีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการป่าในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กรมป่าไม้ ท่านประธานมูลนิธิก็ตั้งใจฟัง ซักถาม และให้ข้อเสนอแนะตลอดการประชุม

พล.อ.ประวิตรย้ำว่า ป่ารอยต่อเป็นป่าสำคัญผืนใหญ่ที่สุด สมบูรณ์ที่สุด และเป็นผืนสุดท้ายที่ตั้งอยู่ใกล้เมืองหลวง จะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ โดยตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา ที่เข้ามาดูแลผืนป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในฐานะประธานมูลนิธิพื้นที่แห่งนี้ถือว่าถูกเข้ามาบุกรุกทำลายน้อยที่สุด หรือแทบไม่มีเลย แต่ก็อดเสียดายไม่ได้ว่าก่อนหน้านี้ ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดเคยมีพื้นที่มากถึง 13 ล้านไร่

วันนี้เหลือแค่ 1.3 แสนไร่เท่านั้น แต่ก็เป็น 1.3 แสนไร่ ที่จะต้องทำให้สมบูรณ์ที่สุด และไม่ให้ลดน้อยกว่านี้อีกแล้ว

คำสั่งล่าสุดสำหรับการจัดการผืนป่ารอยต่อ 5 จังหวัดที่ พล.อ.ประวิตรมี ก็คือ การสั่งปิดถนนสาย 3259 ที่กรมทางหลวงตัดผ่านเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน



ถนนเส้นนี้มีปัญหามาช้านาน เพราะมีรถชนสัตว์ใหญ่สัตว์น้อยที่ข้ามถนน ทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน เฉลี่ยปีละกว่า 3 พันตัว เป็นโศกนาฏกรรมอันสุดเศร้าสลดของบรรดาสัตว์ป่า ที่น้อยคนนักจะรู้เห็น

เจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไนเล่าให้ฟังว่า บ่อยครั้งที่ต้องเข้าไปเก็บซากกวางตายทั้งกลม ที่ถูกรถชนลูกไหลทะลักออกมาจากท้อง หรือหลายครั้งก็พบช้างได้รับบาดเจ็บ และรถเองก็ได้รับความเสียหาย ไม่รวมสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่ถูกรถเหยียบ ระหว่างการข้ามถนน โดยบางครั้งคนขับรถเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้ทำอะไรลงไป

กรมอุทยานแห่งชาติฯ แก้ปัญหาเรื่องนี้โดยการสั่งปิดถนนห้ามรถวิ่งในช่วงเวลาหลัง 3 ทุ่ม แต่ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ได้คลี่คลายลงเลย ยังคงมีสัตว์ถูกรถชนตายให้เจ้าหน้าที่ต้องไปเก็บซากเกิดขึ้นสม่ำเสมอ

พล.อ.ประวิตร ใช้ความเฉียบขาดสั่งการให้ปิดถนนสายดังกล่าวอย่างถาวร และบอกว่าจะไปหางบประมาณ เพื่อปรับปรุงเส้นทางอีกเส้นที่สามารถใช้การได้เช่นเดียวกัน แต่ผู้ใช้รถ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ต้องใช้เส้นทางสำหรับขนส่งผลิตผลทางการเกษตรจาก ที่หนึ่งไปจำหน่ายยังอีกที่หนึ่ง)เพราะหากปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ดีแน่นอน


ซึ่งความเป็นจริงแล้วการตัดถนนผ่านป่าอนุรักษ์ ที่ขึ้นชื่อว่าป่าที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของประเทศไทย อย่างเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ผ่าน งบประมาณผ่าน และทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องช่วยกันหาทางระงับ ป้องกันเหตุที่ไม่น่าจะเกิด และเมื่อป้องกันแล้ว ไม่เป็นผล ก็ต้องระงับเสีย

ถือเป็นความเฉียบขาดที่ช่วงเวลาอื่นๆ ไม่สามารถทำได้


หลายคนอาจจะมองว่าการสั่งปิดถนนเส้นหนึ่ง แล้วบังคับให้รถที่ขนสินค้าการเกษตรไปใช้อีกเส้นหนึ่ง ที่จะต้องเพิ่มระยะทางการวิ่งอีกกว่า 50 กิโลเมตร ถือเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างใหญ่หลวง เมื่อเทียบกับสัตว์ตายเพียงไม่กี่ตัว กรณีเดียวกับที่มีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ ที่อยู่ระหว่างการทำมาตรการทวงคืนผืนป่า เข้าไปยึดคืนพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ที่ถูกกลุ่มนายทุนบุกรุกไปปลูกยางพารา โดยตั้งเป้าหมายว่า ปี 2558 จะต้องยึดคืนให้ได้ 400,000 ไร่ หลังจากยึดคืนได้แล้ว จะโค่นทิ้งทำลายสวนยางเหล่านั้นให้หมด โดยจะเข้าไปฟื้นคืนสภาพให้กลับมาเป็นป่าธรรมชาติเหมือนเดิม

เป็นที่มาของการต่อต้านอย่างหนักจากบรรดาเอ็นจีโอ และนักวิชาการบางคนถึงขั้นประกาศว่า การโค่นต้นยางทิ้งของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติฯนั้นเป็นการอนุรักษ์ที่ก้าวร้าว บางคนก็พูดถึงความเสียหายในแง่เศรษฐกิจ ว่าเป็นการทำร้ายเกษตรกรชาวสวนยาง ทำลายย่อยยับ เพราะยางพาราสามารถเก็บเกี่ยวรายได้ยาวนานถึง 25 ปี โดยยกเอาตัวเลข เม็ดเงินที่จะต้องเสียไปตลอด 25 ปี ที่เก็บเกี่ยวน้ำยางได้สูงถึง 2.4 ล้านล้านบาท

ในโลกโซเชียล มีการโจมตีเรื่องนี้กันมาก หลายคนก็แชร์ต่อ โดยไม่ยอมคิดหน้าคิดหลัง เหมือนกับการแชร์ประเด็นอื่นๆ ในสังคม ที่มองกันไม่รอบคอบ

เกษตรกรตัวจริงที่ทำสวนยางพาราในพื้นที่ของตัวเอง มีอาชีพเป็นชาวสวนยางพาราจริงๆ น่าจะมีคนละไม่เกิน 50 ไร่ หากเกินน่าจะเข้าข่ายนายทุน เพราะการทำสวนยางพารานั้นมีรายได้เป็นกอบเป็นกำก็จริง แต่ช่วง 3-5 ปีแรก เป็นเรื่องของการบำรุงรักษา เกษตรกรแทบจะไม่มีรายได้เลย หากสายป่านไม่ยาวจริงไม่มีเงินถุงเงินถังก็คงจะอยู่ยาก คนทำสวนยางพารา 50 ไร่ขึ้นไป น่าจะเป็นคนรวยระดับนายทุนทั้งสิ้น สำคัญคือ สวนยางพาราที่ต้องไปเอาคืนเหล่านี้ ล้วนอยู่ในเขตป่าทั้งสิ้น ทั้งป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติ มิหนำซ้ำกว่า 2 แสนไร่ ยังมีการบุกรุกเข้าไปปลูกในพื้นที่ป่าต้นน้ำชั้น 1 เอ บริเวณที่เคยเป็นป่าต้นน้ำสมบูรณ์สุดขีด เช่น ป่าต้นน้ำบนเทือกเขาบรรทัด และป่าต้นน้ำแม่น้ำป่าสัก

แต่บัดนี้ความหลากหลายทางชีวภาพของป่าต้นน้ำเหลือเกือบศูนย์ เพราะสวนยางพาราเข้ามาแทนที่


ก่อนปลูกยางแต่ละต้น ต้องใช้น้ำยาฆ่าหญ้า ต้องตัดต้นไม้ใหญ่ทิ้ง ระหว่างการใช้น้ำยาฆ่าหญ้าเพื่อเคลียร์พื้นที่ ฝนอาจจะตกลงมา ชะล้าง น้ำยาอันตรายเหล่านั้นจะถูกชะไหลลงมายังพื้นล่าง ผ่านพื้นที่ต่างๆ ลงแม่น้ำ การตัดต้นไม้ใหญ่ทิ้ง ทำให้สิ้นสภาพแห่งความเป็นป่าต้นน้ำ คิดง่ายๆ ป่าต้นน้ำ 1 ไร่ มีไม้เล็ก ไม้น้อยไม้ใหญ่ หลายพันชนิด ตั้งพืชคลุมดิน ไปถึงไม้เรือนยอด ในขณะที่สวนยางพารา 1 ไร่ จะมีต้นยางประมาณ 70 ต้น มีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณหนึ่ง แต่ความเสียหายทางด้านสิ่งแวดล้อม เรารณรงค์กันนักหนาว่าจะต้องรักษาเอาไว้มันไม่สามารถคิดมูลค่าได้

เราเผชิญกับอากาศวิปริต น้ำท่วมใหญ่ ดินโคลนถล่ม ฝนตกหนัก ทรัพย์สินเสียหายนับไม่ถ้วน แต่หลายคนยังดื้อดึง ก่นด่า เมื่อจะมีการเอาคืนผืนป่าต้นน้ำคืนมา

เราตักตวงเอาประโยชน์จากธรรมชาติมากเกินไปแล้วหรือเปล่า ถึงเวลาที่จะเยียวยาดูแลแล้วไม่ใช่หรือ

การรักษาชีวิตสัตว์ป่าที่ข้ามถนนตรงเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน แม้ปีละแค่ 3 พันกว่าตัว แลกกับการปรับปรุงถนนใหม่ ใช้งบประมาณไม่กี่บาท และการกำจัดเหล่านายทุนที่รุกพื้นที่ป่าต้นน้ำเอาพื้นที่ป่าคืนมา อาจจะยุ่งยากกับการจัดการตามหลักการวนวัฒน์ ว่าด้วยเรื่องการปลูกพืชทดแทนพืชเก่าที่ต้องโค่นทิ้งไปเพื่อทำให้ผืนป่าสมบูรณ์กลับคืนมา เสียเวลาไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ความเลวร้ายแห่งการบุกรุก รุนแรงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่หรือ