แตกใบอ่อน : ทำเกษตรไม่ใช้เงิน
หนังสือพิมพ์แนวหน้า -- พฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม 2558 06:00:00 น.
2 สัปดาห์ก่อน ได้รับบทความเรื่อง ?ทำเกษตรแบบพอเพียง สร้างความสมดุลสู่ธรรมชาติ? จาก ?มนตรี บุญจรัส? ประธานชมรมเกษตรปลอดสารพิษ
และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยกรีน อะโกร จำกัดซึ่งมีเนื้อหาที่เข้ากับภาวะการเกษตรบ้านเราในเวลานี้ที่เกษตรกรจำเป็น ต้องวางแผนการผลิตเพื่อลดต้นทุนแต่ขณะเดียวกันก็ต้องได้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และปลอดภัย เพื่อให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจการเกษตรที่ แข่งขันกันอย่างดุเดือด ซึ่งคุณมนตรีได้ให้คำแนะนำเป็น ?ทางเลือก? ไว้ดังนี้ครับ
...ถ้าจะคิด ถ้าจะทำอาชีพเกษตรกรรมโดยที่ไม่ต้องใช้เงิน หลายท่านก็คงจะคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าได้อ่านบทความนี้แล้ว จะเข้าใจว่าเป็นไปได้ ถ้ามีหัวใจพอเพียง เพราะการทำเกษตรกรรมถ้าค่อยคิด ค่อยทำ ก็ไม่จำเป็นต้องมีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่การเตรียมเมล็ดพันธุ์คือ เมื่อหมดรอบฤดูเก็บเกี่ยวไปในแต่ละคราว ควรจะต้องแบ่งผลผลิตส่วนหนึ่งให้คงเหลือไว้ทำพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นพริก มะละกอ ข้าวโพด ถั่วฝักยาว มะระ ฟักแฟง แตงกวา ฯลฯ แล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่ม ตามขื่อคาหรือใต้ถุน เมื่อถึงฤดูเพาะปลูกก็นำเมล็ดพันธุ์ที่เก็บที่สำรองไว้มาเริ่มทำการเพาะปลูก ใหม่ ทำแบบนี้เป็นประจำทุกปีก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียเงินไปซื้อเมล็ดพันธุ์ลูก ผสมจากบริษัทใหญ่ๆ แถมยังเป็นการแตกกอต่อยอดได้สายพันธุ์ใหม่ให้ลูกหลานไทยได้มีพืชพันธุ์ ธัญญาหารไว้เป็นสมบัติของชาติได้อีกด้วย เพราะการเพาะปลูกด้วยเมล็ดมีโอกาสได้ทั้งพันธุ์ที่ดีกว่าและพันธุ์ด้อยจาก ต้นแม่ต้นเดิม ถ้าได้การกลายพันธุ์จากต้นแม่เดิมที่เด่นและดีกว่าก็ควรเก็บรักษาไว้ เพียงการเริ่มต้นดูแลรักษาเมล็ดพันธุ์ไว้ด้วยตนเอง เราก็สามารถที่จะมีความมั่นคงด้านพันธุ์พืชแบบไทยๆ โดยไม่ต้องรอซื้อกับบริษัทนำเข้า
ต่อมาอีกแนวทางหนึ่งก็คือการให้ความสำคัญกับ ?อินทรียวัตถุ? ที่จะต้องใส่เสริมเพิ่มเติมลงไปในดิน ต้องทำให้ได้เหมือนกับต้นไม้ในป่าเขา ที่เข้ามีเศษกิ่งไม้ใบหญ้าสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนร่วงหล่นกันลงมาเป็นอาหาร เป็นบ้าน ให้จุลินทรีย์ ไส้เดือน และสิ่งมีชิวิตอื่นๆ ทำให้ดินไม่เคยเสื่อมความอุดมสมบูรณ์
แต่การทำเกษตรของพี่น้องเกษตรส่วนใหญ่มักจะเป็นไปในลักษณะที่เอาเปรียบ ธรรมชาติ คือเอาผลผลิตออกไปจากแปลงเรือกสวนไร่นาในอัตราเป็นตันๆ แต่ผันปุ๋ยและอาหารกลับมาสู่ดินสู่พืชเพียงไม่กี่กำมือ ซึ่งมีการทำอย่างต่อเนื่องมายาวนานกว่า 20-30 ปี ดินจึงมีแต่สูญเสียแร่ธาตุสารอาหารออกไปแบบไม่สมดุลกับอาหารหรือปุ๋ยที่ มนุษย์ให้กลับคืนมา ทำให้ดินขาดแคลนความอุดมสมบูรณ์ ยิ่งปลูกพืชยิ่งอ่อนแอ หมดความต้านทาน หมดภูมิคุ้มกัน ผลผลิตน้อย ต้องซื้อปุ๋ยยาฆ่าแมลงมาใส่เสริมเติมลงไปไม่รู้จักจบสิ้น ทำให้ต้นทุนส่วนใหญ่หมดสิ้นไปกับปัจจัยภายนอกที่ต้องใช้เงินเป็นปัจจัยหลัก ในการเพิ่มผลผลิต
การที่จะทำให้อินทรียวัตถุจากโมเลกุลใหญ่ๆ ให้กลายมาเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องมีตัวช่วย คือการนำเอาจุลินทรีย์ท้องถิ่นปุ๋ยหมักปุ๋ยคอก ลงสู่แปลงเรือกสวนไร่นาของท้องถิ่นนั้น หรือจะเรียกได้ว่าจุลินทรีย์ไทยแลนด์ ลงสู่ แปลงนาไทยแลนด์ น่าจะดีที่สุด จุลินทรีย์ที่ว่านั้นก็คือจุลินทรีย์จากสัตว์สี่กระเพาะ ตั้งแต่ วัว ควาย แพะ แกะ เก้ง เป็นต้น ในกระเพาะของสัตว์เหล่านี้ จะมีจุลินทรีย์ ทั้ง ยีสต์ ราแบคทีเรีย โปรโตซัว ชนิดพิเศษที่สามารถย่อยสลายอินทรียวัตถุให้เปื่อยยุ่ยเป็นผุยผง สังเกตได้จากมูลวัว มูลควาย เมื่อเขาขับถ่ายออกมา เศษตอซังฟางข้าว เศษต้นไม้ใบหญ้าจะแหลกเละ ละเอียด อันนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากคุณสมบัติพิเศษของจุลินทรีย์ภายในกระเพาะ 3 ห้องแรก โดยจะทำหน้าที่ในการบดหยาบ บดละเอียดบดผสม ก่อนจะส่งตรงไปยังกระเพาะจริง นั่นก็คือ กระเพาะห้องที่ 4 (Abomasum)
เมื่อเราพอจะทราบว่าในกระเพาะของสัตว์สี่กระเพาะ มีคุณสมบัติของจุลินทรีย์ชนิดพิเศษ เราก็สามารถนำมูลวัวควายสดมาเพาะเชื้อขยายด้วยจำนวน 2 กิโลกรัม ต่อน้ำสะอาด 20 ลิตร เติมกากน้ำตาลลงไปเพื่อเป็นอาหารเลี้ยงเชื้ออีก 10 ลิตร ลูกแป้งข้าวหมาก 1 ลูก (ถ้ามีใส่ลงไปจะดี) เพราะจะช่วยควบคุมจุลินทรีย์ตัวร้ายไม่ให้เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต จุลินทรีย์ขี้ควาย หรือจุลินทรีย์ของสัตว์สี่กระเพาะนี้
เมื่อเราได้จุลินทรีย์ท้องถิ่นไทย ลงสู่แปลงเกษตรและกองปุ๋ยหมักปุ๋ยคอกแบบไทย เขาก็สามารถทำงานได้ทันที ไม่ต้องปรับตัว ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่คุ้นเคย ผนวกกับความสามารถในการย่อยสลายเป็นทุนเดิม ทำให้เรามี ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก ทันต่อการใช้งาน สามารถนำเศษตอซังฟางข้าว เศษกิ่งไม้ใบหญ้าที่ได้จากการตัดแต่งกิ่ง นำมา สับ บด หั่น ย่อย ให้กลายเป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย เราก็จะมีปุ๋ยอินทรีย์ไว้ใช้ประจำเรือกสวน ไร่นา ที่พร้อมเติมลงไปในดินได้ทันที ซึ่งใกล้เคียงกับเศษไม้ใบหญ้าตามป่าเขาลำเนาไพร เมื่อดินได้รับอินทรียวัตถุอย่างสม่ำเสมอก็จะทำให้โครงสร้างดินดี มีค่า พีเอช (PH) มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นบ้านให้ไส้เดือน จุลินทรีย์ ตัวห้ำ ตัวเบียน และแมงมุม ฯลฯ เปรียบได้กับเป็นการคืนความสมดุลให้กับธรรมชาติ
เมื่อการเพาะปลูกบนพื้นที่ดินดี ก็เท่ากับว่าเรามีชัยไปกว่าครึ่ง การเจริญเติบโตของพืชก็สมบูรณ์แข็งแรง ลดการใช้ปุ๋ย ยา ฮอร์โมน ผลผลิตเพิ่ม ถ้าใช้ไปในระดับหนึ่งและมีการบริหารจัดการแร่ธาตุและสารอาหารอย่างเหมาะสม จนดินมีองค์ประกอบครบตามธรรมชาติคือ มีอินทรียวัตถุ 5% น้ำ 25% อากาศ 25% และอนินทรีย์ หินแร่ อีก 45% โครงสร้างหรือองค์ประกอบนี้เป็นดินที่พืชสามารถเจริญเติบโตได้โดยไม่ต้องใส่ หรือเติมปุ๋ยอีกต่อไป นอกจากได้ประโยชน์ในเรื่องของการลดการเผาตอซังฟางข้าวแล้ว ยังได้วิถีชนบททำให้พี่น้องเกษตรกรมีวัวควายไว้ใช้แรงงาน ช่วยให้ต้นทุนลดลง มีกำไรที่เป็นตัวเงิน และกำไรชีวิตได้อย่างแท้จริง
มะลิลา