ผู้เขียน หัวข้อ: ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 119.53 จุด หลังที่ประชุมเฟดมีมติขึ้นดอกเบี้ย  (อ่าน 195 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82291
    • ดูรายละเอียด
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดร่วง 119.53 จุด หลังที่ประชุมเฟดมีมติขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (13 มิ.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในปีนี้ พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 25,201.20 จุด ลดลง 119.53 จุด หรือ -0.47% ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 2,775.63 จุด ลดลง 11.22 จุด หรือ -0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 7,695.70 จุด ลดลง 8.09 จุด หรือ -0.11%
          ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงหลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.75-2.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ขณะเดียวกันเฟดได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยคาดว่าจะปรับขึ้นในเดือนก.ย. และธ.ค. ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวม 4 ครั้งในปีนี้
          แถลงการณ์หลังการประชุมของเฟดบ่งชี้ว่า เฟดมีการปรับเปลี่ยนการใช้ถ้อยคำในแถลงการณ์เพื่อแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการปรับตัวดีขึ้น โดยระบุว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ปรับตัวขึ้นในอัตราที่แข็งแกร่ง  จากเดิมที่ใช้คำว่า ปรับตัวขึ้นปานกลาง ในการประชุมเดือนมี.ค. ส่วนอัตราการว่างงาน ลดลง  จากเดิมที่ใช้คำว่า อยู่ในระดับต่ำ  และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน  ปรับตัวขึ้น  จากเดิมที่ใช้คำว่า  ชะลอตัวลง
          นอกจากนี้ เฟดยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 2.8% จากเดิมที่ 2.7% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ตัวเลขเงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 2.10% จากเดิมที่ระดับ 1.9% ส่วนอัตราการว่างงานในปีนี้ เฟดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 3.6% จากเดิมที่ 3.8%
          หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมร่วงลง โดยหุ้นแคทเธอร์พิลลาร์ ร่วงลง 1.7% หุ้นโบอิ้ง ดิ่งลงเกือบ 2% ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆในกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลงเช่นกัน ซึ่งรวมถึงหุ้นเอเมอร์สัน อิเล็กทริก หุ้นอีตัน คอร์ป หุ้นเคแอลเอ็กซ์ และหุ้นยูไนเต็ด เทคโนโลยีส์
          หุ้นเอทีแอนด์ที อิงค์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 6.2% หลังจากศาลสหรัฐได้อนุมัติให้เอทีแอนด์ที เข้าซื้อกิจการไทม์ วอเนอร์ ซึ่งเป็นบริษัทด้านสื่อและบันเทิงยักษ์ใหญ่ ในวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ข่าวดังกล่าวช่วยหนุนหุ้นไทม์ วอเนอร์ ดีดตัวขึ้น 1.8% หุ้นทเวนตี้ เฟิร์สท์ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์ พุ่งขึ้น 7.7% และหุ้นวอลท์ ดิสนีย์ ปรับตัวขึ้น 1.9%
          หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลง แม้ว่าโดยปกติแล้วหุ้นกลุ่มนี้จะได้แรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดก็ตาม โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ขยับลง 0.2% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ลดลง 0.1% ส่วนหุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นเวลส์ฟารโก ต่างก็ปรับตัวลงราว 0.4%
          ส่วนหุ้นกลุ่มสื่อดีดตัวขึ้น โดยหุ้นสปรินท์ คอร์ป พุ่งขึ้น 1.3% หุ้นซีบีเอส คอร์ป ทะยานขึ้น 3.4% และหุ้นดิสคัฟเวอร์รี บวก 1.6%
          สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ดีดตัวขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค.เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน และค่าใช้จ่ายในภาคบริการ
          ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคานำเข้า-ดัชนีราคาส่งออกเดือนพ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนเม.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรม-การใช้กำลังการผลิตเดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน
          นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆในสัปดาห์นี้ โดยการประชุมของธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะมีขึ้นในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ซึ่งคาดว่า ECB จะส่งสัญญาณปรับลดวงเงินซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ส่วนการประชุมของธนาคารญี่ปุ่น (BOJ) จะมีขึ้นในวันที่ 14-15 มิ.ย.นี้ โดยคาดว่าคณะกรรมการ BOJ จะคงนโยบายการเงินในการประชุมครั้งนี้