ผู้เขียน หัวข้อ: ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 64.89 จุด ขานรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน  (อ่าน 332 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82377
    • ดูรายละเอียด
ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 64.89 จุด ขานรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) ขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq ปรับตัวลง
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 64.89 จุด หรือ 0.26% ปิดที่ 25,444.34 จุด ดัชนี S&P 500 ขยับลง 1.00 จุด หรือ 0.04% ปิดที่ 2,767.78 จุด ดัชนี Nasdaq ลดลง 36.11 จุด หรือ 0.48% ปิดที่ 7,449.03 จุด
          หุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ทะยาน 8.8% หุ้นเพย์พาลทะยาน 9.4% หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสบวก 3.8% หุ้นสเก็ตเชอร์สพุ่ง 13.8% หลังบริษัทเหล่านี้เปิดเผยผลประกอบการที่สูงเกินคาด
          หุ้นแคทเธอร์พิลลาร์และอินเทลปรับตัวลงกว่า 2% หุ้นอีเบย์ร่วงลง 8.87%
          ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งได้ช่วยหนุนดาวโจนส์ให้ดีดตัวขึ้น หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักเมื่อวันพฤหัสบดี อันเนื่องมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับซาอุดีอาระเบีย
          สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจนั้น สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนก.ย.ปรับตัวลดลง 3.4% จากเดือนส.ค. แตะระดับ 5.15 ล้านยูนิต
          เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.ของปีก่อนหน้าแล้ว ยอดขายบ้านมือสองลดลง 4.1%
          นักเศรษฐศาสตร์จาก NAR เปิดเผยว่า สาเหตุของการปรับตัวลดลงของยอดขายบ้านมือสองทั่วสหรัฐนั้น มาจากการที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงราคาบ้านที่สูงขึ้น โดยราคาเฉลี่ยของบ้านเพิ่มขึ้น 4.2% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 258,100 ดอลลาร์ในเดือนก.ย.
          สต็อกบ้านในตลาดอยู่ที่ระดับ 1.88 ล้านยูนิตในเดือนก.ย. ลดลงจากระดับ 1.91 ล้านยูนิตเมื่อเดือนส.ค. แต่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก.ย.ของปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ระดับ 1.86 ล้านยูนิต
          เมื่อพิจารณายอดขายบ้านและสต็อกบ้านในตลาด พบว่า ผู้ขายบ้านต้องใช้เวลา 4.4 เดือนในการขายบ้านจนหมดสต็อกในตลาด เพิ่มขึ้นจากระดับ 4.3 เดือนเมื่อเดือนส.ค. และยังเพิ่มขึ้นจากระดับ 4.2 เดือนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า