G20 : ?ทรัมป์? vs ?สี จิ้นผิง? ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ | สงครามการค้า จีน สหรัฐพฤศจิกายน 30, 2018 Author
Tee Arjchaidan
สงครามการค้า จีน สหรัฐ | อธิบายนิดนึงว่า การประชุม G20 มีหลายประเด็นของหลายๆ ประเทศที่ต้องพูดคุยกัน แต่เรื่องสำคัญที่โลกสนใจ มีแค่เรื่องของ
สงครามการค้า จีน สหรัฐ เท่านั้น
การเจอกันระหว่าง ?Trump? และ ?Xi? ในวันเสาร์ที่ 1 ธ.ค. นี้ เป็นอะไรที่คาดเดาได้ยาก เพราะถ้ามันเป็นแค่เรื่องเศรษฐกิจจริงๆ มันจะจบลงด้วยลักษณะที่ ทั้งสองประเทศลงแถลงการณ์ร่วมกัน และสงครามการค้าก็คลี่คลายลงในทันที
แต่ปัญหาก็คือ ?มันไม่ใช่? เพราะความขัดแย้งของสองประเทศมันลึกลงไปในหลายประเด็นและเกี่ยวพันกับการบริหารภายในและความมั่นคงของแต่ละประเทศ
หัวหรือก้อยถ้าสามารถออกแถลงการณ์ร่วมกันในทางที่ดีออกมาได้ Bloomberg วิเคราะห์ว่า มันจะคลี่ลลายสถาณการณ์เงินเฟ้อที่เป็นเมฆดำปกคลุมเศรษฐกิจโลกอยู่ในขณะนี้ได้ ในขณะที่หากผลออกมาตรงข้าม เสถียรภาพของการค้าโลกก็ยังอยู่ในโหมดที่สุ่มเสี่ยงต่อไป
เป็นไปได้ที่จะลดความตีงเครียดลงเช่นกันแม้ยังมีประเด็นมากมายที่จะตกลงกันได้ยากในทางการเมือง แต่หลายฝ่ายก็มองการประชุมในแง่ดีว่า ผู้นำทั้งสองประเทศจะออกแถลงการณ์ร่วมกันในลักษณะที่สร้างสรรค์ เพราะหากประเมินแนวโน้มที่สหรัฐฯ เจอกับสหภาพยุโรป
ตอนนั้น Jean-Claude Juncker ประธานคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป มาที่รัฐสภาสหรัฐฯ (ช่วยเดือน July) และมีแถลงการณ์ร่วมกันว่า การประชุมในครั้งนี้ จะนำไปสู่ปฐมบทใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฯ และสหภาพยุโรป เราจะทำงานร่วมกัน รวมไปถึงการทำให้กำแพงภาษีเป็นศูนย์ ไม่มีการอุดหนุนภายใน ฯลฯ
จากกรณีของสหภาพยุโรป ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่า ทั้งสหรัฐฯ และจีน จะสามารถหาจุดร่วมบางอย่างในการประชุมครั้งนี้ได้ เพราะมันเป็นประโยชน์กับทุกหน่วยเศรษฐกิจบนโลกมากกว่า ทั้งนี้ต้องโน๊ตไว้นิดนึงว่า สิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการคือ อยากให้จีนลดการอุดหนุนธุรกิจภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงให้จีนพยายามลดข้อกำหนดที่บังคับให้ธุรกิจสหรัฐฯ ถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อเข้าทำธุรกิจในจีน
สำหรับจีนอย่างไรก็ตาม หากจีนยอมผ่อนปรนลงบ้าง นักวิเคราะห์มองว่า จะเป็นประโยชน์ต่อจีนมากกว่าในการเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะในตอนนี้ เกิดปัญหาการบริโภคภายในประเทศของจีน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความเชื่อมั่นทั้งภาคครัวเรือนและธุรกิจที่มีต่อเศรษฐกิจน้อยลงจากประเด็น Trade War
ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่ตัวเลขมีการชะลอตัวลงจริงๆ (อ่านย้อนหลัง :
ยังไม่ถึงฝัน ? เศรษฐกิจ ?จีน? ชะลอตัวจริง) แม้แต่ Sentiment ของตลาดหุ้นก็ยังมีการใช้สัญญา Derivative เพื่อป้องกันความเสี่ยงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
นี่ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจผลกระทบจากสงครามการค้า ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง การบริโภคภายในประเทศต่ำลง ผลักดันให้จีนต้องบิดเบือนกลไกตลาดทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งในระยะยาวจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้กับระบบเศรษฐกิจของจีนเอง สหรัฐฯ ใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเพื่อกดดันจีนในการขึ้นมามีบทบาททางการเมืองโลก
ตัวอย่างวิธีการแพร่อิทธิพลของจีน ได้แก่ ท่อส่งน้ำมันและก๊าช ที่วางไปตามแนวของเมือง ?จ้อกพยู? (Kyaukpyu) ทางตะวันตกของ ?เมียนม่า? ตรงไปสู่ คุนหมิง? ประเทศจีน ท่อดังกล่าว ทำให้การขนส่งสินค้าพลังงานจาก ?ตะวันออกลาง? ไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกาและทะเลจีนใต้ โครงการนี้ทำให้จีนประหยัดต้นทุนการขนส่งน้ำมัน
สรุปการประชุมในเสาร์จะเป็นตัวแปรสำคัญที่บอกว่า เสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกจะผันผวนหรือไม่ อย่างไร หากสามารถมีแถลงการณ์ร่วมกันออกมาในทางที่ดีได้ ตลาดหุ้นก็อาจมีการปรับตัวขึ้น รวมถึงสกุลเงินของฝั่ง AUD, NZD, CNH ก็มีโอกาสมากที่จะแข็งค่าขึ้น แต่ถ้าการประชุมออกมาตรงข้าม ตลาดการเงินก็จะตอบสนองในทิศทางตรงข้ามเช่นกัน
ที่มา
https://www.thinvest.in.th