ผู้เขียน หัวข้อ: (เพิ่มเติม) กกร. ปรับลดเป้าส่งออกปีนี้เป็น -5% ถึง -10% รอประเมินมาตรการเยียวยารัฐก่อนปรับคาดการณ์ GDP ครั้งหน้า  (อ่าน 296 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82383
    • ดูรายละเอียด

(เพิ่มเติม) กกร. ปรับลดเป้าส่งออกปีนี้เป็น -5% ถึง -10% รอประเมินมาตรการเยียวยารัฐก่อนปรับคาดการณ์ GDP ครั้งหน้า

          นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) คาดว่า การส่งออกในปีนี้จะหดตัว -5 ถึง -10% โดยได้รับผลกระทบด้านการส่งออกไปสหรัฐ ขณะที่ตลาดจีนยังฟื้นตัวลำบาก และแม้ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลง 7-8% แต่ไม่ส่งผลต่อยอดสั่งซื้อ ประกอบกับเกิดสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลต่อราคาและผลผลิตทางการเกษตร ส่วนอัตราเงินเฟ้อ -1.5%
          สำหรับตัวเลขประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้นั้น นายสุพันธ์ คาดว่า GDP ติดลบแน่นอน แต่ยังไม่มีการพิจารณาปรับในเดือนนี้ เพื่อรอประเมินผลกระทบจากมาตรการต่างๆ ที่มีมติครม.ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยจะพิจารณาปรับ GDP ในเดือนหน้า
          นายสุพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ชัดเจนขึ้น โดยเกือบทุกเครื่องชี้เศรษฐกิจหลักหดตัวลง ทั้งการท่องเที่ยว การส่งออก การผลิตและการลงทุน มีเพียงการบริโภคสินค้าไม่คงทนที่ยังขยายตัว ทั้งนี้ ในช่วงเดือนมีนาคมและเมษายน เครื่องชี้เศรษฐกิจจะยังอยู่ในภาวะที่แย่ลงต่อเนื่อง
          ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า การระบาดของโควิด-19 ไม่เพียงส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยองค์การระหว่างประเทศหลายสถาบันต่างทยอยปรับลดประมาณการเศรษฐกิจหลักในโลกลง สำหรับเศรษฐกิจไทยเองก็หนีไม่พ้นที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยเช่นกันโดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 และเป็นไปได้ที่ภาครัฐอาจจำเป็นต้องออกมาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มข้นมากขึ้นตามลำดับ
          ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ที่ประชุม กกร. มองว่า แม้ภาครัฐจะมีมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบระยะที่ 1-2 และเตรียมที่จะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติม รวมถึงมีมาตรการจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสถาบันการเงินต่างๆ แต่โดยรวมแล้วก็อาจจะไม่สามารถทดแทนผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคธุรกิจและประชาชน จากการขาดรายได้และการหยุดหรือปิดกิจการ โดย กกร. ประเมินความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยอาจมีมูลค่าสูงถึงหลักล้านล้านบาท และกระทบการจ้างงานหลายล้านคน และหากการระบาดของโควิด-19 สามารถยุติลงได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ สู่ภาวะปกติก็คงต้องใช้เวลา
           เมื่อวานนี้ต้องขอบคุณภาครัฐที่อนุมัติมาตรการดูแลและเยียวยาโควิด-19 ระยะที่ 3 ทั้ง พ.ร.ก.กู้เงิน การเลื่อนกำหนดชำระหนี้ให้ SMEs การจัดสรรสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำช่วย SMEs กกร.จึงยังไม่มีการพิจารณาปรับ GDP ในเดือนนี้ เพื่อรอประเมินผลกระทบจากมาตรการต่างๆที่มติครม.ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ติดลบแน่นอน  นายสุพันธุ์ กล่าว
          นอกจากนี้ ที่ประชุม กกร.มีข้อเสนอเพิ่มเติมต่อมาตรการช่วยเหลือด้านแรงงานจากสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้
          1.มาตรการด้านผู้ประกอบการ ขอให้ภาครัฐพิจารณาออกคำสั่งปิดกิจการของรัฐ ให้กับผู้ประกอบการโรงแรมหรืองานบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว เพื่อให้พนักงานสามารถเข้าข่ายกิจการที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งปิดกิจการของรัฐ และพนักงานจะได้เงินชดเชยตามมาตรการที่รัฐบาลกำหนด ยกเว้นให้โรงแรมหรือบริการอื่นๆ ที่มีความจำเป็น สามารถเปิดกิจการโดยความสมัครใจ  อาทิ เป็นที่พักบุคคลากรทางการแพทย์ หรือ ที่พักของผู้กักตัว เป็นต้น
           ตอนนี้มีคำสั่งปิดโรงแรมไปแล้ว 10 จังหวัด ส่วนที่เหลือต้องการให้มีคำสั่งปิดเช่นกันเพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือจากสำนักงานประกันสังคม เพราะถ้าปิดเองก็ไม่มีใครเข้ามาช่วยดูแล จะดูแลเองก็ไม่ไหว เพราะธุรกิจไปต่อไม่ได้  นายสุพันธุ์ กล่าว
          ขอให้ปรับลดค่าไฟฟ้า 5% ทั่วประเทศ เพราะปัจจุบันต้นทุนค่าน้ำมันในการผลิตไฟฟ้าลดลงอย่างมาก จึงขอให้ค่า FT สะท้อนถึงต้นทุนที่แท้จริงด้วย, การเพิ่มสภาพคล่องโดยการอัดฉีดวงเงินใหม่ให้กับภาคธุรกิจ ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 2% โดยให้ บสย.ค้ำประกันวงเงินกู้เพิ่มจาก 40% เป็น 80%, ขอให้ภาคเอกชนหักค่าใช้จ่ายได้ 3 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายในการป้องกันการระบาดของโควิด-19, รัฐจัดสรรงบประมาณในการจ้างงาน ซื้อสินค้า จากผู้ผลิตในประเทศ (Made-in-Thailand) ในราคาที่เหมาะสม โดยเฉพาะสินค้าที่ต้องใช้ในสถานการณ์โควิด-19
          2.มาตรการด้านแรงงาน ขอให้ภาครัฐพิจารณามาตรการเพิ่มเติมให้แรงงาน ลูกจ้าง ที่อยู่ในระบบประกันสังคมได้รับการชดเชยรายได้  โดยพนักงานที่เข้าระบบ Leave without pay จะไม่สามารถได้รับเงินชดเชยการหยุดกิจการของสถานประกอบการชั่วคราวจากคำสั่งของรัฐ และไม่เข้าหลักเกณฑ์เยียวยา 5,000 บาท ดังนั้นควรมีมาตรการชดเชยช่วยเหลือจากสำนักงานประกันสังคม โดยจ่ายเงิน 50% ของค่าจ้าง ตามที่ส่งเงินสมทบกองทุนประกันสังคม, อนุญาตให้มีการจ้างงานรายชั่วโมง เพื่อป้องกันปัญหาการเลิกจ้างแรงงาน โดยกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ 325 บาทต่อวัน คิดเป็นชั่วโมงละ 40-41 บาท ต่อการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง และไม่เกิน 8 ชั่วโมง/วัน (ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน) , ลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างจาก 4% เหลือ 1% ให้เท่ากับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 เพราะมีภาคธุรกิจ 90% ได้รับผลกระทบครั้งนี้, เสนอให้รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือแรงงานที่เงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาทโดยยังได้รับเงินเดือน 75% และไม่ตกงาน รวมทั้งสามารถช่วยเหลือ โดยบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่มีโอกาสปลดแรงงานออก สามารถที่จะจ่ายเงินเดือนในจำนวนเงิน 75% ของเงินเดือนที่ได้รับปกติ โดยภาครัฐสนับสนุนค่าจ้างเงินเดือน 50% จากสำนักงานประกันสังคม และบริษัทเอกชนจ่ายอีก 25% ให้พนักงานและแรงงานที่มีเงินเดือนไม่เกิน 15,000 บาท, บริษัทสามารถนำค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนค่าจ้างแรงงานมาใช้หักภาษีได้ 3 เท่าในช่วงระหว่างโควิด-19 ระบาด
          3.มาตรการด้านโลจิสติกส์ ปัจจุบันแต่ละจังหวัดมีการประกาศมาตรการไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดปัญหาในการขนส่ง กกร.จึงขอเสนอให้ ศบค.ประกาศมาตรการจากส่วนกลางเพื่อปฎิบัติเหมือนกันทั่วประเทศ โดยขอให้ กกร. มีส่วนร่วมในการกำหนดมาตรการเพื่อให้สามารถปฎิบัติได้
           ขอให้ ศบค.ออกมาตรการเป็นแนวปฏิบัติเดียวกัน เพราะการขนส่งสินค้าต้องข้ามจังหวัด บางจังหวัดให้ไปขอใบอนุญาตขนส่งไปจากกรมปศสุตว์ ใบอนุญาตขนส่งปลาจากกรมประมง บางทีขนเหล็กเพื่อใช้ในการก่อสร้างงานภาครัฐก็ห้ามเพราะไม่ใช่สินค้าอุปโภคบริโภค  นายสุพันธุ์ กล่าว
          ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 ยุติลงเชื่อว่าธุรกิจจะเปลี่ยนไป โดยปัจจุบันธุรกิจ E-Commerce ขายตัวเพิ่มขึ้น 3-4 เท่าตัว ที่ประชุมจึงมีมติให้จัดทำ Platform เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการให้เข้าถึงตลาดใหม่ๆ ได้มากขึ้น
          ส่วนที่นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เสนอให้รัฐบาลเจรจาให้ภาคเอกชนลดราคาสินค้า เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ได้รับผลกระทบที่ได้เงินชดเชย 5,000 บาท/เดือนนั้น ประธาน ส.อ.ท.กล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้คงไม่มีใครปรับขึ้นราคา แต่หากมีความต้องการมากภาครัฐต้องเข้าไปดูแล แต่หากเป็นสินค้าที่มีความต้องการน้อยผู้ประกอบการเองคงต้องลดราคาเพื่อจูงใจผู้บริโภค
          นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ได้เตรียมความพร้อมในการให้บริการประชาชนหากภาครัฐมีการยกระดับมาตรการดูแล เช่น การขนส่งเงินสดไปใส่ตู้เอทีเอ็มอย่างเพียงพอ ขณะเดียวกันประชาชนสามารถใช้บริการทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็คทรอนิกส์ที่มีความปลอดภัย ขอให้ประชาชนอย่าเป็นกังวล