ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ข่าวหุ้น-การเงิน 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563  (อ่าน 769 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82432
    • ดูรายละเอียด

***ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดร่วง 41.4 ดอลล์ เหตุนลท.ขายหลังดอลล์แข็ง,ตัวเลขจ้างงานแกร่ง
          สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) โดยปรับตัวลงเป็นครั้งแรกหลังบวกต่อเนื่อง 5 วันติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนขายสัญญาทองออกมา หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ซึ่งลดความน่าสนใจของทองเพราะทำให้ราคาทองแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่นๆ ขณะที่การเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาดได้ลดความน่าสนใจของทองในฐานะที่เป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัยด้วย
          สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 41.4 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 2,028 ดอลลาร์/ออนซ์ และในรอบสัปดาห์นี้ ราคาทองปรับตัวขึ้น 2.1%
          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนก.ย. ร่วงลง 86 เซนต์ หรือ 3.03% ปิดที่ 27.54  ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง 43.5 ดอลลาร์ หรือ 4.29% ปิดที่ 970.4 ดอลลาร์/ออนซ์
          ส่วนสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 82.80 ดอลลาร์ หรือ 3.7% ปิดที่ 2,176.60 ดอลลาร์/ออนซ์
          ราคาทองปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนขายทองซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากที่กระทรวงเกษตรสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.76 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.48 ล้านตำแหน่ง
          ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 10.2% จากระดับ 11.1% ในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.6%
          นอกจากนี้ ราคาทองยังถูกกดดันจากการที่ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบสกุลเงินหลัก ซึ่งลดความน่าสนใจของทองเพราะทำให้ราคาทองแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.68% สู่ระดับ 93.4360 เมื่อคืนนี้

***ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดบวก 46.50 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานเพิ่มเกินคาด
          ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 6 ติดต่อกันเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) และดัชนี S&P500 ปิดขยับขึ้นเล็กน้อย โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค. แต่ดัชนี Nasdaq ปิดลดลงโดยถูกกดดันจากการเจรจาที่ยังคงชะงักงันเกี่ยวกับมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐรอบใหม่
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,433.48 จุด เพิ่มขึ้น 46.50 จุด หรือ +0.17% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,351.28 จุด เพิ่มขึ้น 2.12 จุด หรือ +0.06% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,010.98 จุด ลดลง 97.09 จุด หรือ -0.87%
          ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 3.8% ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq บวก 2.5%
          ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้น หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 1.763 ล้านตำแหน่งในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.48 ล้านตำแหน่ง
          ส่วนอัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 10.2% จากระดับ 11.1% ในเดือนมิ.ย. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 10.6%
          บรรดานักลงทุนยังคงจับตาการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่ของสหรัฐ แต่สมาชิกสภาสหรัฐก็ยังคงไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับขนาดและขอบเขตของมาตรการเยียวยาดังกล่าว
          นอกจากนี้ นักลงทุนยังมุ่งความสนใจไปที่ความขัดแย้งรอบใหม่ของสหรัฐและจีน หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งบริหารเพื่อแบนแอปพลิเคชันติ๊กต็อกและวีแชทของจีน ขณะที่จีนออกมาระบุว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้
          หุ้น 8 จาก 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มการเงิน พุ่งขึ้นมากที่สุด 2.18% ขณะที่กลุ่มเทคโนโลยี ร่วง 1.56% โดยเป็นกลุ่มที่ร่วงลงมากที่สุด
          หุ้นกลุ่มปลอดภัย อาทิ กลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวขึ้น แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงมากที่สุด และฉุดดัชนี Nasdaq ปิดตลาดปรับตัวลง
          หุ้นที-โมบาย ยูเอส อิงค์ พุ่งขึ้น 6.47% หลังเปิดเผยยอดผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายเดือนสูงกว่าคาด และแซงหน้าคู่แข่งอย่างเอทีแอนด์ทีขึ้นเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของสหรัฐ
          หุ้นเฟซบุ๊ก ปรับตัวขึ้น 1.19% หลังจากเปิดตัว Reels ซึ่งเป็นบริการใหม่ของอินสตาแกรมในสหรัฐ โดยเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่มีขึ้นเพื่อแข่งกับแอปพลิเคชันแชร์คลิปวิดีโอสัญชาติจีนอย่างติ๊กต็อก (TikTok) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมทั่วโลก
          หุ้นยูพีเอส พุ่ง 7.9% หลังประกาศเก็บค่าบริการขนส่งเพิ่มขึ้นสำหรับช่วงฤดูกาลวันหยุดที่กำลังจะมาถึง ซึ่งตอกย้ำว่าบริษัทได้แรงหนุนจากยอดสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น
          หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 1.6% หลังเปิดเผยว่า บริษัทจะยังคงรายงานผลประกอบการที่เป็นกำไรได้ในไตรมาส 2 หลังยุติคดีกับรัฐบาลมาเลเซียเกี่ยวกับกองทุน 1MDB
          ส่วนหุ้นเทนเซ็นต์ มิวสิก เอ็นเทอร์เทนเมนต์ กรุ๊ป ร่วง 3.32% หลังปธน.ทรัมป์ลงนามในคำสั่งบริหารเพื่อแบนวีแชท (WeChat) ของเทนเซ็นต์ในข้อหาเป็นภัยคุกคามข้อมูลส่วนบุคคล         
          หุ้นไมโครซอฟท์ คอร์ป ร่วง 1.79% ขณะที่กำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการของติ๊กต็อก (TikTok) ในสหรัฐ
          หุ้นบริษัทจีนในสหรัฐปรับตัวลง อาทิ ไป่ตู้ ลบ 0.46%, อาลีบาบา กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ร่วง 5.11% และเจดี.คอม อิงค์ ร่วง 4.39%
          หุ้นอูเบอร์ ร่วง 5.21% หลังเปิดเผยยอดขาดทุนรายไตรมาสที่ 5.2 พันล้านดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

***น้ำมัน WTI ปิดลบ 73 เซนต์ เหตุวิตกโควิดฉุดดีมานด์น้ำมันลด

ข่าวต่างประเทศ Saturday August 8, 2020 06:34 ?สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (7 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกมากขึ้นว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก และการกลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์อีกครั้งนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน

สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. ลดลง 73 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 41.22 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่เพิ่มขึ้น 2.4% ในรอบสัปดาห์นี้

สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 69 เซนต์ หรือ 1.5% ปิดที่ 44.40 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่เพิ่มขึ้น 2% ในรอบสัปดาห์นี้

ตลาดน้ำมันถูกกดดันจากแนวโน้มความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลง เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องอาจจะนำไปสู่การดำเนินมาตรการล็อกดาวน์รอบสอง ซึ่งจะกระทบความต้องการใช้น้ำมัน

ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเชิงระบบ (CSSE) แห่งมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์รายงานว่า มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกมากกว่า 19 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 7.16 แสนรายแล้วเมื่อนับถึงเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยสหรัฐมีผู้ติดเชื้อสะสมมากที่สุดกว่า 4.9 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1.6 แสนราย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังขายสัญญาน้ำมันดิบ เนื่องจากวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งรอบใหม่ระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ลงนามคำสั่งบริหารเพื่อแบนติ๊กต็อกและวีแชทซึ่งเป็นแอปพลิเคชั่นของจีน โดยจะมีผลบังคับใช้ใน 45 วันข้างหน้า ขณะที่จีนขู่ที่จะตอบโต้การดำเนินการดังกล่าวของสหรัฐ

ด้านเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐเปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 4 แท่นในสัปดาห์นี้ สู่ระดับ 247 แท่น และลดลง 687 แท่นเมื่อเทียบเป็นรายปี