ผู้เขียน หัวข้อ: STGTกำไรสนั่น487%นิวไฮ STAอานิสงส์กระฉูด305%  (อ่าน 1290 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 87552
    • ดูรายละเอียด

STGTกำไรสนั่น487%นิวไฮ STAอานิสงส์กระฉูด305%

STGT กำไร Q2 ทำนิวไฮที่แตะ 1 พันลบ.โตก้าวกระโดด 487%

โบรกนอกเชียร์หนักSTGT เป้า120บ.ถูกกว่ามาเลย์

ทันหุ้น-สู้โควิด : STA-STGT ควงคู่โชว์กำไรแรง Q2 รับความต้องการถุงมือยางล้น STGT ทุบสถิติกำไรแตะ 1,056 ล้านบาท พุ่ง 487.7% ชี้ราคาขายปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนน้ำยางลด แถมกำลังการผลิตสูง 95% ช่วยประหยัดต้นทุนอีก ชี้แนวโน้มไปต่อ ต้นปี 64 กำลังผลิตเพิ่มอีก ด้าน STA รับโชคเต็มๆ กำไรทะยาน 305%  เกินคาด

นายกิติชัย สินเจริญกุล กรรมการ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA แจ้งไตรมาส 2/63 มีกำไร 1,093.71ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ที่มีกำไร 270ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายในไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 15,256.1ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.7% แต่หากเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ลดลง 12.7%และบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 16.2%และ 7.2% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการสร้างสถิติใหม่

ทั้งนี้ไตรมาส2/63มีรายได้จากธุรกิจยางธรรมชาติอยู่ที่ 10,291.1ล้านบาท ลดลง 16% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และลดลง 24.5%จากไตรมาสแรกปีนี้ จากการที่ผู้ผลิตยางล้อในหลายประเทศหยุดการผลิตชั่วคราว ตามมาตรการล็อคดาวน์ ราคาขายเฉลี่ยที่อ่อนตัวลงจากไตรมาสแรก

ส่วนรายได้จากธุรกิจถุงมือยางเติบโต 71.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และ 29.1%จากไตรมาสแรกปีนี้ อยู่ที่ 4,953.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตจากทั้งปริมาณขายที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดดตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น และความต้องการในการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก อีกทั้งราคาขายเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นสะท้อนต่อความต้องการในการบริโภค

@STGTทำลายทุกสถิติ
ด้านนางสาวธนวรรณ เสงี่ยมศักดิ์ กรรมการและผู้อำนวยการสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT แจ้งกำไรสุทธิไตรมาส 2/63ที่ 1,056.8 ล้านบาท เติบโต487.7%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นกำไรสุทธิสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มดำเนินกิจการมาตลอด 31ปี เช่นเดียวกับรายได้ที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,856.8ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตขึ้น 29.2% เมื่อเทียบไตรมาส 1 จากความต้องการถุงมือยางที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่องทั่วโลก

โดยบริษัทฯเดินหน้าผลิตถุงมือยาง ปรับเพิ่มอัตรากำลังการผลิตถึง 95%ในไตรมาสสอง 2563โดยมีสัดส่วนการผลิตถุงมือยางธรรมชาติ (NR) และถุงมือยางสังเคราะห์ (NBR)ในสัดส่วน 65:35 ทั้งนี้ บริษัทฯจะยังคงรักษาอัตรากำลังการผลิตในระดับดังกล่าว จนกว่าจะมีการรับรู้กำลังการผลิตNBRใหม่จากโรงงานสาขาสุราษฎร์ธานี (SR2) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการผลิตในช่วงไตรมาส1/2564เป็นต้นไป

สำหรับราคาขายเฉลี่ย (ASP) อยู่ที่ 658 บาทต่อพันชิ้น(USD 20.71)เติบโต 9.9% QoQ และ 5.2 YoY ขณะที่ราคาวัตถุดิบปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องช่วยให้ต้นทุนขายต่อรายได้ลดลงจาก 81.2% ในQ1/63เป็น 70.8% ในQ2/2563

โดยน้ำยาง NR ลดลง 0.7% QoQ และ 9.1% YoY และน้ำยาง NBR ลดลง 7.8% QoQ และ 19.4%YoY และต้นทุนการผลิตที่ลดลงเนื่องจากปริมาณและกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 18.8% ในQ1/63เป็น 29.2%ในQ2/63

ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดของไวรัสCovid-19ไม่ได้เพียงสร้างความต้องการใช้ถุงมือยางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ยังทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ใช้งานทั้งในอุตสาหกรรมทางการแพทย์ไปจนถึงอุตสาหกรรมอื่นๆอย่างสิ้นเชิงถือเป็นสร้างมาตรฐานการดำเนินชีวิตของมนุษย์ ภายหลังจากช่วงแพร่ระบาดของไวรัสในระยะยาว

โดยบริษัทฯมีแผนการขยายกำลังการผลิตติดตั้งเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ 70,000 ล้านชิ้น ซึ่งคาดว่าบริษัทฯจะบรรลุเป้าหมายเร็วกว่าแผนเดิม โดยภายในไตรมาสหนึ่ง 2564จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากโรงงานสาขาสุราษฎร์ธานี(SR2) และโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี(SR3)ในไตรมาสสอง 2564และภายในสิ้นปี2565บริษัทฯจะมีกาลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่45,800ล้านชิ้นต่อปีคิดเป็นอัตราการเติบโตจากปี2563ที่ 40.5% และจะบรรลุกำลังการผลิตที่70,000ล้านชิ้นในปี 2569

รายงาน : เฉลิมชัย ศิรินันทวิทยา

บรรณาธิการ : เฉลิมชัย ศิรินันทวิทยา