« เมื่อ: มกราคม 13, 2021, 12:53:04 PM »
STA โบรกฯ มองรับผลบวกความต้องการถุงมือยางเพิ่ม หลังโควิดระบาด13/1/64 ที่มา ทันหุ้นSTAรายได้แตะแสนล. ดีมานด์พุ่งยางโดด80บ.เมื่อวานเคลื่อนไหวในกรอบแคบต่อเนื่องเหนือระดับ 1530 จุด หลังจากปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1530 จุดขึ้นมาได้ ทำให้แนวโน้มในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปทดสอบแนวต่านถัดไปที่ 1600 และ 1650 จุด โดยมีแนวรับที่ 1515 และ 1500 จุดสำหรับหุ้นที่น่าสนใจวันนี้ คือ STA หรือ บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยางธรรมชาติแบบครบวงจร (Full Supply Chain) ในหลากหลายประเทศ เริ่มตั้งแต่ธุรกิจต้นน้ำการทำสวนยางพาราในประเทศไทย ธุรกิจกลางน้ำการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ ทั้งยางแท่ง (TSR) ยางแผ่นรมควัน (RSS) และน้ำยางข้น (Concentrated Latex) รวมถึงธุรกิจปลายน้ำในการผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยาง และสินค้าสำเร็จรูป อาทิ ท่อไฮดรอลิกแรงดันสูงไตรมาสที่ 3 ปี 63 มีกำไรสุทธิ 2,084 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.36 บาท กำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่กำไรสุทธิ 135 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.09 บาทในขณะที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 63 กำไรสุทธิ 4,032 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 2.63 บาท กำไรเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ที่ขาดทุนสุทธิ 222 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนต่อหุ้น 0.14 บาท
นายวีรสิทธิ์ สินเจริญกุล กรรมการบริหาร กล่าวว่า โครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม STA ปัจจุบันยังคงเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจยางธรรมชาติครบวงจรระดับโลกทั้งด้านกำลังการผลิต ,สัดส่วนการส่งออก และส่วนแบ่งการตลาด เป็นธุรกิจยางธรรมชาติประมาณ 80% เป็นซัพพลายเออร์ส่งวัตถุดิบให้กับผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่และธุรกิจที่ใช้วัตถุดิบยางธรรมชาติทั้งหมด และสัดส่วนอีก 20% มาจากธุรกิจถุงมือยางของ STGT เป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งในอนาคตบริษัทมีเป้าหมายผลักดัน STGT เติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากศักยภาพทำกำไรที่ดีมีมาร์จิ้นสูงกว่าธุรกิจยางธรรมชาติมากแผนการขยายธุรกิจยางธรรมชาติ ปัจจุบันนโยบายบริษัทคงจะไม่ได้เร่งขยายกำลังการผลิตเหมือนกับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หลังจากเดินหน้าขยายกำลังการผลิตยางแท่งให้เติบโตแบบก้าวกระโดดเพื่อรองรับกับดีมานด์ในตลาดโลก จากจำนวน 10 โรงงาน เพิ่มขึ้นมาเป็น 36 โรงงาน แต่จากนี้ธุรกิจยางธรรมชาติจะหันมามุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตมากขึ้นด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดการผลิตและพัฒนาสินค้าในมิติต่างๆอย่างต่อเนื่องใน 10 ปีข้างหน้ากลุ่ม STA มีเป้าหมายต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจถุงมือยางมาเป็น 50% จากปัจจุบัน 20% และที่เหลืออีก 50% เป็นธุรกิจยางธรรมชาติ แม้ว่าในอนาคตธุรกิจถุงมือยางอาจเกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายบางช่วงจังหวะหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายไปแล้ว แต่ก็ยังมีมาร์จิ้นที่ดีสร้างผลกำไรให้กับกลุ่มฯอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนศึกษาการขยายธุรกิจอื่นด้วยที่จะสามารถต่อยอดการเติบโตให้กับกลุ่ม STA เช่น ธุรกิจยางสังเคราะห์ที่มีความต้องการสูงในตลาดโลกแนวโน้มราคายางธรรมชาติช่วงปลายปี 2563 พบว่าเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงในช่วงเริ่มแรกที่เกิดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้อุตสาหกรรมภาคการผลิตหดตัวอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 กลับมาผ่อนคลายอุตสาหกรรมการผลิตกลับมาเร่งการผลิตอีกครั้ง น่าจะเห็นการกลับมาฟื้นตัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส4/63 เป็นต้นไปปัจจุบันเริ่มเห็นสัญญาณกลับมาเดินหน้าผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกแล้ว โดยเฉพาะในประเทศจีนเดินหน้าผลิตเต็ม 100% ส่งผลโดยตรงต่อความต้องการยางธรรมชาติที่เป็นธุรกิจหลักขณะที่ปี 64 คาดว่าจะเห็นการกลับมาเร่งคำสั่งซื้ออย่างชัดเจนเพื่อหวังเติบโตชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นในปี 63 ทำให้แนวโน้มราคายางยางธรรมชาติมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึง 60-80 บาทต่อกิโลกรัม หรืออาจกลับไปแตะ 100 บาทต่อกิโลกรัม หากเป็นเช่นนั้นมีโอกาสสูงรายได้ STA จะกลับมาขึ้นไปถึง 1 แสนล้านบาทได้อีกครั้ง จากเมื่อปี 54 บริษัทมีรายได้รวม 135,039 ล้านบาท และปี 55 มีรายได้รวม 101,360 ล้านบาทนอกจากจะรับปัจจัยสนับสนุนจากราคายางธรรมชาติปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว บริษัทยังจะได้รับแรงสนับสนุนจากกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาส่วนกรณีความเสี่ยงจากการแข็งค่าของเงินบาทในช่วงปลายปี 63 มองว่าเป็นอุปสรรคบ้าง ไม่ได้ร้ายแรงจนเกินไปเพราะการแข็งค่าของเงินบาทรอบนี้เป็นไปตามทิศทางเดียวกับประเทศภูมิภาคเอเชียที่เป็นคู่แข่งขันทางการค้าในตลาดโลก ส่วนภาพรวมไตรมาส4/63 ที่มีโอกาสจะกระทบต่อผลประกอบการนั้นปัจจุบันบริษัททำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อป้องกันผลกระทบบ้างแล้วSTA มีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้นอยู่ที่ 21.86 บาท เมื่อเทียบกับราคาหุ้นที่ 29.00 บาท คิดเป็นอัตราส่วน Price/Book Value Ratio ที่ 1.32 เท่า แต่มีอัตราส่วน P/E Ratio ที่ 10.85 เท่าราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเกิดสัญญาณฟื้นตัวทางเทคนิค หลังจากเคลื่อนไหวออกด้านข้างเพื่อสร้างฐานเข้าใกล้เส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ทำให้แนวโน้มของราคาหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านที่ 30.00 ถ้าทะลุผ่านขึ้นไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปที่ 36.00 โดยมีแนวรับสำคัญที่ 25.00 ถ้าหลุดจะเป็นสัญญาณขายทางเทคนิครายงาน : ธิดารัตน์ เห็นพร้อมผู้สื่อข่าวอาวุโส : ธิดารัตน์ เห็นพร้อม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 13, 2021, 12:56:41 PM โดย Rakayang.Com »