ผู้เขียน หัวข้อ: กระอัก EU ดีเดย์ ธ.ค.67 ออกมาตรการแบนสินค้าเข้าข่ายทำลายป่า  (อ่าน 869 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 84880
    • ดูรายละเอียด

กระอัก EU ดีเดย์ ธ.ค.67 ออกมาตรการแบนสินค้าเข้าข่ายทำลายป่า

อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)


สนค.เผย มาตรการ EUDR อียู มีผล 30 ธ.ค.67 คลุม 7 กลุ่มสินค้า ชี้ ?ยางพารา-ผลิตภัณฑ์ไม้? กระทบหนักสุด เหตุส่งออกตลาดอียู 85-90% แนะผู้ผลิต-ส่งออกไทย เตรียมรับมือ

วันนี้ (4 มี.ค.2567) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค. ได้ติดตามสถานการณ์การส่งออกสินค้าเกษตรไทยภายใต้กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) ของสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งได้มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2566 และจะมีผลในทางปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 30 ธ.ค. 2567

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)


โดยมาตรการ EUDR ครอบคลุม 7 กลุ่มสินค้า คือ โกโก้ กาแฟ ถั่วเหลือง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โค และไม้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปของสินค้าเหล่านี้ ปี 2565 ไทยมีการส่งออกสินค้าที่อยู่ภายใต้มาตรการ EUDR ไปอียู รวมมูลค่า 724.73 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.34 จากปีก่อนหน้า


สำหรับปี 2566 การส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR จากไทยไป EU มีมูลค่า 455.58 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 37.14 จากปีก่อนหน้า


ผอ.สนค.กล่าวอีกว่า หากเรียงตามมูลค่าการส่งออกสูงสุด พบว่า ยางพารา 386.55 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสัดส่วนร้อยละ 84.85 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR ทั้งหมด ,ไม้ 61.53 ล้านเหรียญสหรัฐ, ปาล์มน้ำมัน 3.63 ล้านเหรียญสหรัฐ , โกโก้ 3.48 ล้านเหรียญสหรัฐ ,กาแฟ 0.36 ล้านเหรียญสหรัฐ และ ถั่วเหลือง 0.02 ล้านเหรียญสหรัฐ


โดยสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกไปอียูมากที่สุดในกลุ่ม คือ ยางพารา และไม้ ซึ่งในปี 2566 การส่งออกยางพารา หดตัวร้อยละ 41.17 สอดคล้องกับการส่งออกยางพาราจากไทยไปโลกที่หดตัวเช่นกัน โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากอุปสงค์โลกชะลอตัว ขณะที่ การส่งออกไม้จากไทยไปอียู ขยายตัวร้อยละ 42.73


สำหรับมาตรการ EUDR ใช้กับผู้ประกอบการ (Operators) และผู้ค้า (Traders) ที่จะวางจำหน่ายสินค้าในตลาดอียู โดยต้องผ่านเงื่อนไข 3 ข้อ คือ สินค้าต้องไม่มาจากการบุกรุกพื้นที่ป่า ,ต้องมีกระบวนการผลิตที่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิตและต้องมีการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence) เช่น รายละเอียดสินค้า ประเทศผู้ผลิต พิกัดภูมิศาสตร์ของที่ดินที่ใช้เพาะปลูก ข้อมูลที่ยืนยันว่าสินค้าไม่ได้มาจากการบุกรุกพื้นที่ป่า


สำหรับไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้า ต้องจัดเตรียมข้อมูลตามเงื่อนไขของกฎหมาย EUDR ให้พร้อม เนื่องจากผู้ประกอบการและผู้ค้าอียู จะซื้อสินค้าจากผู้ผลิตที่สามารถให้ข้อมูลตามที่กฎหมายกำหนด


กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation) ของสหภาพยุโรป (อียู)


ผอ.สนค.กล่าวว่า ข้อมูลสำคัญที่จะต้องเตรียมให้มี คือ ข้อมูลเพื่อยืนยันว่าสินค้าไม่ได้มาจากการบุกรุกพื้นที่ป่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีระบบลงทะเบียนที่สามารถนำมาใช้เป็นพื้นฐานรองรับมาตรการ EUDR ได้แก่ ระบบลงทะเบียนแหล่งปลูกไม้ ผ่านแอปพลิเคชันอี-ทรี (e-TREE) ของกรมป่าไม้ และระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (Rubber Authority of Thailand (RAOT) GIS) ของการยางแห่งประเทศไทย


อียู ออกกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า หรือ EUDR (EU Deforestation Regulation)


อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกสินค้าภายใต้มาตรการ EUDR จากไทยไปอียู ประมาณร้อยละ 85-90 คือ ยางพารา รองลงมา คือ ผลิตภัณฑ์ไม้ ส่วนสินค้าอื่นยังมีสัดส่วนน้อย ดังนั้น ในระยะแรก ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้ายางพารา และผลิตภัณฑ์ไม้ มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบมากกว่า


ขณะเดียวกันสินค้าสองกลุ่มนี้ มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมปลายน้ำจำนวนมาก ซึ่งอาจสร้างความซับซ้อน และก่อให้เกิดต้นทุนการตรวจสอบย้อนกลับของห่วงโซ่การผลิตสินค้าปลายน้ำตามมา อียูถือเป็นผู้นำและเป็นต้นแบบของโลกด้านการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อม


การออกกฎหมายของอียู จะเป็นตัวอย่างให้หลาย ๆ ประเทศออกกฎหมายในลักษณะเดียวกัน ดังนั้น ผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือกับกฎหมายกฎระเบียบใหม่ ๆ เพื่อรักษาตลาดและแสวงหาโอกาสได้ทันท่วงที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 25, 2024, 10:26:09 PM โดย Rakayang.Com »