ลุ้นผุด ?รับเบอร์วัลเล่ย์? ในไทย
นักลงทุนจีนพร้อมร่วมทุนนับหมื่นล้าน
?รับเบอร์วัลเล่ย์? พร้อมร่วมส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราไทย แนะไทยควรปฏิรูปยางอย่างจริงจัง เร่งเสริมเทคโนโลยีเพื่อแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่ม เผยกลุ่มนักลงทุนจีนสนใจทุ่มทุน 10,000 ล้านบาทตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ในไทย
นายจาง เหย็น ประธานกรรมการและผู้จัดการใหญ่ บริษัท รับเบอร์วัลเล่ย์ กรุ๊ป จำกัด และรองผู้อำนวยการคณะกรรมการบริหารจัดการโครงการรับเบอร์วัลเล่ย์ ประเทศจีน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคายางพาราที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง บริษัทจึงมีแนวคิดจะส่งเสริมอุตสาหกรรมยางพาราไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยได้เสนอแนวทางให้รัฐบาลไทยปฏิรูปอุตสาหกรรมยางพาราอย่างเป็นระบบ พร้อมยกระดับการผลิตยางพาราให้มีคุณภาพ โดยส่งเสริมการนำเทคโนโลยีเข้ามาแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ยาง พร้อมทั้งควรพัฒนาระบบการซื้อขายยางพาราจากเดิมที่พ่อค้าคนกลางจะเป็นคนรับซื้อแล้วนำไปจำหน่ายต่อ ควรส่งเสริมให้มีระบบการซื้อ-ขายแบบอื่นมารองรับด้วย เช่น ระบบการซื้อขายแบบออนไลน์ และการซื้อขายจากผู้ผลิตไปยังผู้ซื้อโดยตรง
ในส่วนของบริษัทได้จัดทำโครงการการสร้างตลาดกลางรับเบอร์วัลเล่ย์ มาตั้งแต่เดือน ก.ค. 2556 ภายใต้ชื่อ Boce-Rubber Valley Natural Rubber Exchange ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนและภาคเอกชน โดยจะมีรูปแบบการดำเนินตลาดกลางที่เป็นของตัวเอง รวมถึงเรื่องการกำหนดราคายางพารา จะยึดราคาซื้อขายตามความเป็นจริง กำหนดราคาที่เป็นธรรมให้ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ?โครงการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มสหกรณ์ และเกษตรกรผู้ปลูกยางชาวไทย โดยล่าสุดบริษัทได้ทำการซื้อขายยางพาราแปรรูปกับสหกรณ์สวนยางบ่อทอง จ.ชลบุรี โดยได้ทำสัญญาซื้อขายยางแผ่นรมควันชั้น 3 จำนวน 100,000 ตัน ในราคา 1,860 เหรียญสหรัฐฯต่อตัน และคาดว่าจะมีการซื้อขายต่อเนื่องกันตามมาอีก เนื่องจากในปัจจุบันความต้องการใช้ยางพาราในอุตสาหกรรมของประเทศจีนมีสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2556 มีการใช้ยางพาราถึง 4.28 ล้านตัน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นยางพาราที่มาจากประเทศไทยถึง 70% หรือประมาณ 2.10 ล้านตัน และคาดว่าในปีนี้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก 6%?
ทั้งนี้ บริษัทมีโกดังเก็บสินค้าอยู่ 4 แห่งในประเทศจีน ประกอบด้วยชิงเต่า, เทียนสิน, เซี่ยงไฮ้ และหนิงโป ส่วนความเป็นไปได้ที่จะเปิดโกดังในประเทศไทยนั้น ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้แต่ต้องขอเวลาศึกษาต้นทุนและความคุ้มค่าก่อน เพราะตลาดผู้ใช้ยางจริงจะอยู่ที่ประเทศจีนเป็นหลัก การเปิดโกดังสินค้าในไทยอาจทำได้เพียงการพักสินค้าแล้วจัดส่งไปต่างประเทศ นอกจากจะมีโรงงานที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับยางพาราในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ก็มีโอกาสที่จะเปิดโกดังสินค้าในประเทศไทยเช่นกัน
นายจางยังกล่าวด้วยว่า ขณะนี้ได้รับการติดต่อจากบริษัทเอกชนรายใหญ่จากจีนหลายรายที่แสดงความสนใจเข้ามาตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์ในไทยมูลค่าแห่งละประมาณ 2,000 ล้านหยวนหรือ 10,000 ล้านบาท อาทิ บริษัท ซานตงหลิงหลงไทร์ ซึ่งล่าสุดได้เข้ามาซื้อพื้นที่ใน จ.ระยอง เพื่อตั้งโรงงานผลิตยางรถยนต์แล้ว คาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ประมาณต้นปี 2558 หรือบริษัทเซ็นจูรี่ ไทร์ ล่าสุดยังอยู่ระหว่างการเลือกพื้นที่ตั้งโรงงาน โดยโรงงานแต่ละแห่งจะมีกำลังการผลิตยางรถยนต์นั่งส่วนบุคคลประมาณ 10 ล้านเส้นต่อปี และยางรถบรรทุกประมาณ 2 ล้านเส้นต่อปี ซึ่งเชื่อว่าการเข้ามาจัดตั้งโรงงานในครั้งนี้จะทำให้เกษตรกรชาวสวนยางของไทยได้รับประโยชน์อย่างมาก
นอกจากนี้ ในช่วงปี 2558 บริษัทยังมีแผนที่จะตั้งศูนย์อบรมบุคลากร เกี่ยวกับยางพาราในประเทศไทยที่ จ.ระยอง โดยร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และแลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคโนโลยีใหม่ๆเกี่ยวกับยางพารา.
ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์