ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ข่าวหุ้น-การเงิน 20 เมษายน 2566  (อ่าน 108 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82879
    • ดูรายละเอียด

ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 79.62 จุด นลท.ผิดหวังผลประกอบการ
          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 เม.ย. 2566)--ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันพุธ (19 เม.ย.) หลังจากบริษัทจดทะเบียนเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดีดตัวขึ้นปิดในแดนบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,897.01 จุด ลดลง 79.62 จุด หรือ -0.23%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,154.52 จุด ลดลง 0.35 จุด หรือ -0.01% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,157.23 จุด เพิ่มขึ้น 3.81 จุด หรือ +0.03%
          บรรยากาศการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียน โดยธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์เปิดเผยกำไรในไตรมาส 1/2566 ลดลง 19% เมื่อเทียบเป็นรายปี สู่ระดับ 2.98 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.70 ดอลลาร์/หุ้น และรายได้ลดลง 2% สู่ระดับ 1.452 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยได้รับผลกระทบจากภาวะซบเซาของธุรกิจวาณิชธนกิจ
          ส่วนเน็ตฟลิกซ์ ผู้ให้บริการสตรีมมิงภาพยนตร์รายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยกำไรในไตรมาส 1/2566 อยู่ที่ 1.31 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.88 ดอลลาร์/หุ้น ลดลงจากไตรมาส 1/2565 ซึ่งอยู่ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 3.53 ดอลลาร์/หุ้น
          รายงานดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นเน็ตฟลิกซ์ปิดตลาดร่วงลง 3.17% โดยบริษัทระบุว่าขณะนี้มีการแชร์รหัสบัญชีบริการสตรีมมิงมากกว่า 100 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นสัดส่วน 43% ของฐานผู้ใช้งานเน็ตฟลิกซ์ทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้และความสามารถของบริษัทในการลงทุนสร้างคอนเทนต์ใหม่ ๆ ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทจะเริ่มบังคับใช้มาตรการห้ามแชร์รหัสบัญชีในไตรมาส 2 ปีนี้
          หุ้นวอลท์ดิสนีย์ ร่วงลง 2.16% หลังจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า ดิสนีย์มีแผนที่จะปลดพนักงานหลายพันคนทั่วโลกในสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมถึงพนักงานในธุรกิจทีวี, ภาพยนตร์ และสวนสนุก โดยพนักงานที่ถูกปลดจะได้รับหนังสือแจ้งเตือนอย่างเร็วที่สุดในวันที่ 24 เม.ย.นี้
          หุ้นเทสลา ร่วงลง 2.02% หลังบริษัทประกาศลดราคารถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Model Y และ Model 3 ในสหรัฐ ซึ่งเป็นการปรับลดราคาครั้งที่ 6 แล้วในปีนี้ ขณะที่นักลงทุนกังวลว่าการปรับลดราคาจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท
          อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดีดตัวขึ้นและเป็นปัจจัยหนุนดัชนี Nasdaq ปิดในแดนบวก นอกจากนี้ นักลงทุนเข้าซื้อหุ้น Defensive ซึ่งเป็นหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฎจักรทางเศรษฐกิจได้ดี เช่นหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค
          นักลงทุนยังคงจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่ข้อมูลจาก Refinitiv IBES ระบุว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จะรายงานตัวเลขกำไรลดลง 4.8% ในไตรมาส 1/2566
          นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านมือสองเดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการขั้นต้นเดือนเม.ย.จากเอสแอนด์พี โกลบอล
โดย รัตนา พงศ์ทวิช

ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดร่วง $1.70 วิตกเฟดขึ้นดบ.-ดอลล์แข็งฉุดตลาด
          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 เม.ย. 2566)--สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% ในวันพุธ (19 เม.ย.) โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ และความกังวลที่ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน
          ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนพ.ค. ร่วงลง 1.70 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 79.16 ดอลลาร์/บาร์เรล
          ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 1.65 ดอลลาร์ หรือ 2.0% ปิดที่ 83.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
          สัญญาน้ำมัน WTI และน้ำมันเบรนท์ต่างก็ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.ปีนี้ เนื่องจากการแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาน้ำมันดิบซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.23% แตะที่ระดับ 101.9695 เมื่อคืนนี้
          นักวิเคราะห์จากบริษัท Ritterbusch and Associates กล่าวว่า นอกเหนือจากการแข็งค่าของดอลลาร์แล้ว ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นักลงทุนลดการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง หลังมีรายงานว่าอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในอังกฤษสูงกว่าระดับ 10% และอยู่ในระดับสูงสุดของยุโรปตะวันตก
          นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับผลกระทบจากความกังวลว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมัน โดยนักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค.เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
          ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์และความกังวลเกี่ยวกับภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้บดบังปัจจัยบวกจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ซึ่งระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 4.6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 400,000 บาร์เรล
โดย รัตนา พงศ์ทวิช

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดร่วง $12.40 ดอลล์แข็ง-บอนด์ยีลด์พุ่งทุบตลาด
          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (20 เม.ย. 2566)--สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงในวันพุธ (19 เม.ย.) โดยได้รับปัจจัยลบจากการแข็งค่าของดอลลาร์ รวมทั้งความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
          ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย. ลดลง 12.40 ดอลลาร์ หรือ 0.61% ปิดที่ 2,007.30 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนพ.ค. เพิ่มขึ้น 10.80 เซนต์ หรือ 0.43% ปิดที่ 25.371 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนก.ค. เพิ่มขึ้น 8.40 ดอลลาร์ หรือ 0.77% ปิดที่ 1,105.70 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมิ.ย. ร่วงลง 24.10 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 1,618.80 ดอลลาร์/ออนซ์
          จิม วิคคอฟฟ์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Kitco กล่าวว่า ราคาทองคำถูกกดดันจากหลายปัจจัย ซึ่งรวมถึงการแข็งค่าของดอลลาร์ การพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ราคาน้ำมันดิบที่ร่วงลง และความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินเฟ้อของอังกฤษที่อยู่ในระดับสูงมาก
          ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.23% แตะที่ระดับ 101.9695 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.625% เมื่อคืนนี้
          ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น ๆ ส่วนการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย
          นักลงทุนให้น้ำหนัก 88.7% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 2-3 พ.ค. และให้น้ำหนักเพียง 11.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.75-5.00%
          นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 97% ที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนพ.ค. หลังจากอังกฤษเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่า 10% และอยู่ในระดับสูงสุดของยุโรปตะวันตก
โดย รัตนา พงศ์ทวิช