ผู้เขียน หัวข้อ: กยท.เผยผลผลิตยาง Q4 ที่ 1.67 ล้านตัน ชี้ฝนชุก-น้ำท่วม ฉุดผลผลิตในปท.ลดลง 43%  (อ่าน 355 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 82409
    • ดูรายละเอียด

กยท.เผยผลผลิตยาง Q4 ที่ 1.67 ล้านตัน ชี้ฝนชุก-น้ำท่วม ฉุดผลผลิตในปท.ลดลง 43%
          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (10 พ.ย. 2565)--น.ส.อธิวีณ์ แดงกนิษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวถึงสถานการณ์ยางประจำไตรมาสที่ 4/2565 ว่า คาดการณ์ผลผลิตยางปี 2565 เป็นเนื้อยางแห้ง 4.799 ล้านตัน โดยผลผลิตยางไตรมาสนี้ มีปริมาณอยู่ที่ 1.677 ล้านตัน และช่วงของเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่เกิดฝนตกชุกและน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานและใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ปลูกยางสำคัญ ทำให้ผลผลิตยางในประเทศลดลงประมาณ 43%
          ขณะที่ในไตรมาสที่ 3/65 ไทยส่งออกยางรวม 1.15 ล้านตัน ยังอยู่ในระดับเดียวกับปีก่อน ส่วนอุตสาหกรรมที่ใช้ยางธรรมชาติ ได้แก่ อุตสาหกรรมถุงมือยาง สมาคมถุงมือยางประเทศมาเลเซีย (The Malaysian Rubber Glove Manufacturers Association (MARGMA) คาดการณ์ว่าในปี 2566 อุตสาหกรรมถุงมือยางจะเติบโตขึ้น 12-15% หลังจากหดตัวลง 19% ในปีนี้ และอุตสาหกรรมยางล้อทางสมาคมผู้ผลิตยางล้อแห่งสหรัฐอเมริกา (USTMA) คาดการณ์การจัดส่งยางล้อของสหรัฐทั้งหมด 342.1 ล้านหน่วยในปี 2565 เทียบกับ 335.2 ล้านหน่วยในปี 2564 และ 332.7 ล้านหน่วยในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้น 2.1% จากปี 2564 สถานการณ์การผลิตยางล้อในยุโรป สมาคมผู้ผลิตยางล้อยุโรป (European Tyre & Rubber Manufacturers? Association (ETRMA)) รายงานว่าตลาดยางทดแทนในยุโรปลดลงในช่วงไตรมาสที่ 3/2565 ส่งสัญญาณถึงการชะลอตัวลงภายหลังจากการฟื้นตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา
          นอกจากนี้ Sublime China Information รายงานว่า กำลังการผลิตของโรงงานผลิตยางล้อ (Semi-steel tire) ในประเทศจีนอยู่ที่ 54.18% ลดลง 2.3% YoY ปัจจัยที่ทำให้กำลังการผลิตลด เนื่องจากโรงงานยางล้อในมณฑลชานตง ลดปริมาณกำลังการผลิตยางล้อ ประชาชนจีนยังคงระมัดระวังการเดินทางต่างพื้นที่ ทำให้มีแนวโน้มการเปลี่ยนล้อยางลดลง และโรงงานยางล้อบางแห่งต้องลดกำลังการผลิต เนื่องจากขาดแคลนแรงงาน
          ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวม พบว่า สหรัฐอเมริกา มีแนวโน้มชะลอลงจากอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง แต่เศรษฐกิจจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยในปีนี้ ด้านยูโรโซนมีแนวโน้มหดตัวลงเล็กน้อยในครึ่งปีหลัง จากวิกฤตพลังงานรุนแรง ซึ่งเป็นปัจจัยหลักทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ทางฝั่งประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศผู้ใช้ยางรายใหญ่ของโลก มีการฟื้นตัวเปราะบางในหลายภาคส่วนจากมาตรการ Zero Covid การล็อกดาวน์บางพื้นที่ เศรษฐกิจโลกชะลอตัวและวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทางจีนได้ใช้มาตรการการเงินและการคลังผ่อนคลายเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาวะเศรษฐกิจแปรปรวน เกษตรกรควรติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมการและปรับตัวได้อย่างทันท่วงที ซึ่ง กยท.ยังคงดำเนินโครงการช่วยเหลือ เช่น โครงการชะลอการขายยางร่วมกับสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง และโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง
          นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่าการ กยท.กล่าวถึงแนวคิดการปลูกสวนยางกับระบบนิเวศอย่างยั่งยืน (RAOT ECO LIFE) ว่า กยท.เดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายการทำสวนยางอย่างยั่งยืนผ่านโครงการต่างๆ ได้แก่ โครงการ 1,000 ไร่ โดย กยท.ร่วมกับ บริษัท Societe Des Matieres Premieres Tropicales Pte Ltd (SMPT) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ MOU เพื่อร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนในประเทศไทย ผ่านการทดลองในพื้นที่สวนยางพาราจำนวน 1000 ไร่ ของ กยท. ให้เป็นพื้นที่สาธิตตามแนวทางการจัดการฟาร์มที่ดีที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มบริษัทผู้ใช้ยางธรรมชาติ ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตของเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อย คนกรีดยาง ปกป้องสิ่งแวดล้อมของทรัพยากรธรรมชาติ และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
          อีกหนึ่งโครงการที่กำลังจะจัดสัมมนาขึ้นในวันที่ 3-5 ธ.ค.65 คือโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการทำสวนยางอย่างยั่งยืนผ่านรูปแบบเครือข่าย ณ บ้านสวนเสริมทรัพย์ จ.ลำปาง โดยเชิญปราชญ์/ผู้รู้ ด้านการจัดการสวนยางอย่างยั่งยืนมาถ่ายทอดแนวคิดและประสบการณ์ โดยมีเป้าหมายหลักของผู้เข้าสัมมนาเป็นสถาบันเกษตรกรและเกษตรกรชาวสวนยางทั่วประเทศกว่า 300 คน เพื่อเป็นต้นแบบ การทำสวนยางอย่างยั่งยืน รวมไปถึงความคืบหน้าที่ กยท.ได้เข้าสำรวจเกษตรกรประเภทเจ้าของสวนจำนวน 46,648 ราย ผ่าน Application Rubberway พบว่าการดำเนินงานไปในทิศทางที่ดี มีความเสี่ยงด้านความยั่งยืนของยางธรรมชาติอยู่ในระดับน้อยในทุกๆ ด้าน ซึ่งในวันที่ 7 ธ.ค.นี้ กยท.จะสรุปผลกกรดำเนินงานโครงการอย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง
          และโครงการคาร์บอนเครดิตในสวนยางพารา โดยยางพาราเป็นป่าปลูกที่มีศักยภาพสูงในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กยท.จึงผลักดันสวนยางของเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับ กยท.จำนวนกว่า 22 ล้านไร่ เข้าสู่โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) ภายใต้มาตรฐานของ อปก. สำหรับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จากโครงการ T-VER สามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากองค์กร บุคคลได้ ถือเป็นการส่งเสริม ดูแลสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับการสร้างรายได้และค่าตอบแทนเสริมให้กับชาวสวนยาง นอกเหนือรายได้จากการเก็บเกี่ยวผลผลิตน้ำยาง
โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/กษมาพร กิตติสัมพันธ์