ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปภาวะตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ และตลาดเงินต่างประเทศ ข่าวหุ้น-การเงิน 11 กันยายน 2564  (อ่าน 541 ครั้ง)

Rakayang.Com

  • Administrator
  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 89211
    • ดูรายละเอียด

ภาวะตลาดทองคำนิวยอร์ก: ทองปิดลบ $7.9 เหตุดอลล์แข็ง-นลท.เทขายกดดันตลาด
          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 2564)--สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยยังคงปิดตลาดที่ระดับต่ำกว่า 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตลาด นอกจากนี้ นักลงทุนยังเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในวันศุกร์ ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีน
          ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 7.9 ดอลลาร์ หรือ 0.44% ปิดที่ 1,792.1 ดอลลาร์/ออนซ์ และร่วงลงมากกว่า 2% ในรอบสัปดาห์นี้
          สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 27.7 เซนต์ หรือ 1.15% ปิดที่ 23.9 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนต.ค. ลดลง 18 ดอลลาร์ หรือ 1.85% ปิดที่ 956.5 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 16.50 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ปิดที่ 2,126.30 ดอลลาร์/ออนซ์
          สัญญาทองคำได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ โดยดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.10% แตะที่ 92.5779 เมื่อคืนนี้
          ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้น มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น
          นักลงทุนเทขายสัญญาทองคำซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หลังมีรายงานว่าผู้นำสหรัฐและจีนหารือกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนก.พ. และเป็นครั้งที่ 2 ของปธน.ไบเดนนับตั้งแต่ที่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.
          ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ผู้นำทั้งสองหารือกันเกี่ยวกับความจำเป็นในการหลีกเลี่ยงการแข่งขันซึ่งจะนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศ
          นอกจากนี้ ราคาทองยังได้รับผลกระทบ หลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือนส.ค. ชะลอลงหลังจากพุ่งขึ้น 1% ในเดือนก.ค.
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิช โทร.Tel. 02-253-5000 ต่อ 363 อีเมล์: kallayanee.c@infoquest.co.th--


ภาวะตลาดน้ำมัน: น้ำมัน WTI ปิดพุ่ง $1.58 ขานรับสหรัฐ-จีนเจรจาลดความขัดแย้ง
          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 2564)--สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) โดยได้รับปัจจัยบวกจากการเจรจาระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งจะช่วยผ่อนคลายความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีน นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากภาวะตึงตัวของปริมาณน้ำมันในสหรัฐ หลังได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนไอดา
          สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 1.58 ดอลลาร์ หรือ 2.3% ปิดที่ 69.72 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้น 0.6% ในรอบสัปดาห์นี้
          สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.47 ดอลลาร์ หรือ 2.1% ปิดที่ 72.92 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้น 0.4% ในรอบสัปดาห์นี้
          นักลงทุนคาดหวังว่า การเจรจาระหว่างปธน.ไบเดนและปธน.สี จิ้นผิงในวันศุกร์ จะปูทางไปสู่การลดความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มอุปสงค์น้ำมันในตลาด
          การเจรจากันทางโทรศัพท์ระหว่างปธน.ไบเดนและปธน.สี จิ้นผิง ถือเป็นการหารือกันครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสองนับตั้งแต่เดือนก.พ. และเป็นครั้งที่ 2 ของปธน.ไบเดนนับตั้งแต่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนม.ค.
          ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากความล่าช้าในการฟื้นฟูกำลังการผลิตของบรรดาผู้ผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก หลังได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนไอดา
          ทั้งนี้ บริษัทน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกยังคงไม่สามารถฟื้นฟูการผลิตได้เต็มที่ แม้พายุเฮอริเคนไอดาได้พัดผ่านบริเวณดังกล่าวแล้ว ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันในตลาดลดลงราว 17.5 ล้านบาร์เรล
          สำนักงานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมของสหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการเมื่อวันศุกร์ว่า การผลิตน้ำมันประมาณ 66.36% ในอ่าวเม็กซิโกยังคงปิดทำการอยู่ เช่นเดียวกับการผลิตก๊าซธรรมชาติ 75.55% ที่ยังคงปิดดำเนินการอยู่เช่นกัน
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิช โทร.Tel. 02-253-5000 ต่อ 363 อีเมล์: kallayanee.c@infoquest.co.th--


ภาวะตลาดหุ้นนิวยอร์ก: ดาวโจนส์ปิดลบ 271.66 จุด วิตกเฟดลด QE เร็วกว่าคาดหลังเงินเฟ้อพุ่ง
          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (11 ก.ย. 2564)--ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 5 เมื่อคืนนี้ (10 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐหลังการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) พุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในเดือนส.ค. และนักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้
          ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,607.72 จุด ลดลง 271.66 จุด หรือ -0.78%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,458.58 จุด ลดลง 34.70 จุด หรือ -0.77% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 15,115.49 จุด ลดลง 132.76 จุด หรือ -0.87%
          ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 2.15%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.7% และดัชนี Nasdaq ลดลง 1.61%
          กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต ดีดตัวขึ้น 0.7% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.6%
          เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PPI พุ่งขึ้น 8.3% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในรอบเกือบ 11 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนพ.ย. 2553 หลังจากดีดตัวขึ้น 7.8% ในเดือนก.ค.
          ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และพุ่งขึ้น 6.3% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลดังกล่าวในเดือนส.ค. 2557
          นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์กล่าวในวันศุกร์ว่า เงินเฟ้อในสหรัฐจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปีนี้ แต่จะปรับตัวลงในปีหน้า ขณะที่แนวโน้มมีความเสี่ยงในช่วงขาขึ้น
          นางเมสเตอร์ได้กล่าวสนับสนุนให้เฟดเริ่มปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในปีนี้ แม้สหรัฐมีการจ้างงานที่อ่อนแอในเดือนส.ค.ก็ตาม
          ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ถูกกดดันจากการที่หุ้นแอปเปิลร่วงลง 3.3% หลังศาลสหรัฐตัดสินคดีเกี่ยวกับแอปสโตร์ ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้กับบรรดาผู้พัฒนาแอป
          หุ้นบริษัทผลิตแอป อาทิ หุ้นสปอติฟาย เทคโนโลยี บวก 0.7% ขณะที่หุ้นแอคทิวิชัน บลิซซาร์ด และหุ้นอิเล็กทรอนิค อาร์ต ปรับตัวขึ้นราว 2%
          หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดลดลง นำโดยหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสาธารณูปโภคซึ่งปรับตัวลงมากกว่า 1%
          หุ้นตีตี โกลบอลของจีนซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงลง 5% หลังเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนแจ้งกับบรรดาบริษัทที่ให้บริการรถรับส่งให้ทำการปรับปรุงการจ่ายรายได้และรับประกันเวลาหยุดพักของพนักงาน
          ราคาหุ้นโกรเซอร์ โครเกอร์ ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ที่สุดของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากรายได้นั้น ร่วงลงเกือบ 8% หลังเปิดเผยว่า ภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก, ต้นทุนการขนส่ง รวมถึงการให้ส่วนลดและสินค้าที่สูญเสียนั้น จะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัท
          บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐในวันอังคารที่ 14 ก.ย.นี้ เพื่อยืนยันทิศทางของภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐ รวมถึงการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ เพื่อดูว่า เฟดจะส่งสัญญาณปรับลดวงเงิน QE ในการประชุมครั้งนี้หรือไม่
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย กัลยาณี ชีวะพานิช โทร.Tel. 02-253-5000 ต่อ 363 อีเมล์: kallayanee.c@infoquest.co.th--